วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การยกระดับคะแนน วิชาภาษาอังฤษ ของนักเรียนชั้น ม.3 โดยบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ โรงเรียนนาทรายวิทยาคม

การยกระดับคะแนน วิชาภาษาอังฤษ ของนักเรียนชั้น ม.3 โดยบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ โรงเรียนนาทรายวิทยาคม (ปีการศึกษา 2550 - 2553)

โครงการนี้มีจุดที่น่าสนใจอยู่ว่า เราเปลี่ยนเจตคติที่ดีต่อวิชาภาษาอังกฤษ และคะแนน ONET ของนักเรียนได้อย่างไร? จึงทำให้คะแนนวิชานี้สูงขึ้นติดต่อกันมาทุกปี

ผู้อ่านท่านใดสนใจ ติดตามบทความได้ ในเวลาอันใกล้นี้
การจัดอันดับความสำคัญของสมรรถนะที่จำเป็นต้องพัฒนา (ครูขั้นพื้นฐาน)

ลำดับที่
สมรรถนะที่จำเป็นต้องพัฒนา
เหตุผลประกอบ
1
ความสามารถในการเขียนเอกสารทางวิชาการ
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 2.16
2
ความสามารถในการวิจัย
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 2.72
3
ความสามารถในการสังเคราะห์
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 2.79
4
ความสามารถในการสร้างและพัฒนาหลักสูตร
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.08
5
ความสามารถในการใช้และพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี สารสนเทศ เพื่อการจัดการเรียนรู้
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.10
6
ความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน
เป็นสำคัญ
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.19
7
ความสามารถในการวัด และประเมินผลการเรียนรู้
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.22
8
ความสามารถในเนื้อหาสาระที่สอน
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.30
9
ความสามารถในการกำกับ ดูแลชั้นเรียน
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.42
10
ความสามารถในการจัดบรรยากาศการเรียนรู้
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.54
11
ความสามารถในการพัฒนาทักษะ ชีวิต สุขภาพกาย และสุขภาพจิต
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.56
12
ความสามารถในการปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.60
13
ความสามารถในการฝังความเป็นไทย
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.65
14
ความสามารถในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.67
15
ความสามารถในการจัดระบบดูแลและช่วยเหลือผู้เรียน
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.69
16
ความสามารถในการวิเคราะห์
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.80
17
ความสามารถในการจัดทำข้อมูลสารสนเทศและเอกสารประจำชั้นเรียน/ประจำวิชา
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.93
18
ความสามารถในการนำชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมสถานศึกษา
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 2.83
19
ความสามมารถในการเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 2.90
20
ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการแสวงหาความรู้
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 2.97
21
ผลการปฏิบัติงานในการการมุ่งผลสัมฤทธิ์
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.09
22
ความสามรถในการวางแผนการปฏิบัติงาน
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.10
23
ความสามารถในการประมวลความรู้ และนำความรู้ไปใช้
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.11
24
ความสามารถในการใช้ภาษาไทย
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.19
25
ความสามารถในการติดตามความเคลื่อนไหวทางวิชาการ และวิชาชีพ
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.20
26
ความสามรถในการสร้างระบบการให้บริการ
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.21
27
ความสามารถในการวิเคราะห์ตนเอง
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.21
28
ความสามารถในการปฏิบัติงาน
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.23
29
ความสามารถในการวางแผนเพื่อการปฏิบัติงานเป็นทีม
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.30
30
ความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกัน
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.32
31
ความสามารถในการให้บริการ
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.33
32
ความรับผิดชอบในวิชาชีพสมรรถนะหลัก
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.37
33
การมีวินัย
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.73
34
การดำรงชีวิตอย่างเหมาะสม
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.79
35
การประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.80
36
ความรักและศรัทธาในวิชาชีพ
มีระดับคุณภาพสมรรถนะอยู่ในระดับ 3.84

หมายเหตุ แนวทางการจัดอันดับความสำคัญของสมรรถนะที่จำเป็นต้องพัฒนาให้ความสำคัญกับสมรรถนะหรือความสามารถที่ส่งผลต่อผู้เรียนหรือผู้รับบริการเป็นอันดับแรก ต่อหน่วยงาน ต่อตนเอง และชุมชนเป็นอันดับรองลงมา (แนวทางการจัดอันดับความสำคัญสมรรถนะที่จำเป็นต้องพัฒนา)

Bloom’s Taxonomy

Bloom’s Taxonomy

ในปี 1956, Benjamin Bloom นำกลุ่มนักจิตวิทยาการศึกษากลุ่มหนึ่งพัฒนาการจัดกลุ่มพฤติกรรมทางสมองที่สำคัญต่อการเรียนรู้ ระหว่าง ปี 1990 มีนักจิตวิทยากลุ่มใหม่ นำโดย Lorin Anderson (ลูกศิษย์เก่าของ Bloom) ปรับปรุงกลุ่มพฤติกรรมขึ้นมาใหม่ และสะท้อนผลงานในศตวรรษที่ 21 เป็นรูปภาพนี้เป็นตัวแทนของคำกริยาใหม่ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ Bloom’s Taxonomy ที่เราคุ้นเคยมานาน บันทึกนี้เปลี่ยนจากนามเป็นกริยาเพื่ออธิบายระดับที่แตกต่างกันของกลุ่มพฤติกรรรม


จำ:ผู้เรียนสามารถระลึกหรือจดจำข้อมูลได้หรือไม่
ให้คำจำกัดความ (Define),จำลอง (Duplicate),จัดทำรายการ(List),จดจำ(Memorize),ระลึก(Recall),พูดซ้ำ (Repeat),คัดลอก(Reproduce State)

เข้าใจ:ผู้เรียนสามารถอธิบายความคิดหรือความคิดรวบยอดได้หรือไม่
แยกหมวดหมู่(Classify),บรรยาย(Describe),อภิปราย(Discuss),ชี้แจงเหตุผล(Explain),จำแนก(Indentify),หาแหล่งที่ตั้ง(Locate),จำแนกออก(recognize),รายงาน(Report),คัดสรร(Select),แปลความ(Translate),การถอดความ(Paraphrase)

ประยุกต์ใช้: ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ไปจากเดิมได้หรือไม่
เลือก(Choose),แสดง(Demonsrate),ละคร(Dramatize),บริการอาชีพ(Employ),อธิบายพร้อมตัวอย่าง (Illustrate),ปฏิบัติการ(Operate),กำหนดการทำงาน(Schedule),ร่าง(Sketch),แก้ปัญหา(solve),ใช้(Use),เขียน(Write)

วิเคราะห์:ผู้เรียนสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างส่วนต่างได้หรือไม่
ประเมินค่า(Appraise),เปรียบเทียบ(Compare),แตกต่าง(Contrast),วิจารณ์(Criticize),จำแนก(Differentiate),แบ่งแยก(Discriminate),วินิจฉัย(Distinguish),ตรวจสอบ(Examine),ทดลอง (Experiment)

ประเมินค่า:ผู้เรียนสามารถพิสูจน์หรือตัดสินใจได้หรือไม่
ประเมินค่า(Appraise),อภิปราย(Argue),แก้ต่าง(Defend),พิจารณาตัดสิน(Judge),เลือก(Select),สนับสนุน(Support),ให้คุณค่า(Value),ประเมินค่า(Evaluation)

สร้างสรรค์: นักเรียนสามารถสร้างผลิตพันธ์ หรือความคิดเห็นมุมมองใหม่ๆ ได้หรือไม่
รวบรวม(Assemble),สร้าง(Construct),สร้างสรรค์(Creat),ออกแบบ(Design),พัฒนา(Develop),คิดสูตร-คิดระบบ(Formulate),เขียน(Write)

จาก : http://web.odu.edu/educ/llschult/blooms_taxonomy.html

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การพัฒนาโรงเรียนนาทรายวิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553


ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 (พฤษภาคม 2553 – กันยายน 2553) ที่ผ่านมา โรงเรียนมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ พอสรุปได้ดังนี้
 ด้านวิชาการ ในปีการศึกษา 2553 นี้ โรงเรียนนาทรายวิทยาคม มีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น จากปีการศึกษาที่แล้ว (480 คน) มาเป็น 519 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2553) ทำให้โรงเรียนขยับขนาดมาเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง ซึ่งสวนทางกับโรงเรียนรอบนอกอื่น ๆ (ยกเว้นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ) ในจังหวัดลำพูน นอกจากนั้น โรงเรียนยังเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพช่างยนต์ และคอมพิวเตอร์ธุรกิจ เป็นปีที่ 2 ในขณะที่สายสามัญ โรงเรียนก็เป็นโรงเรียนพร้อมใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ทำให้การทำงานด้านวิชาการของโรงเรียนมีเรื่องใหม่ ๆ ให้ได้ศึกษา เรียนรู้ ตลอดเวลา แม้จะมีปัญหาอุปสรรคในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็ไม่ทำให้นักเรียน หย่อนคุณภาพลง จากผลการสมัครและสอบแข่งขันเข้าเรียนต่ออุดมศึกษา ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า มีนักเรียนสามารถผ่านการคัดเลือกเข้าได้ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น และมีจำนวนนักเรียนที่สามารถสอบเข้าได้เพิ่มขึ้นทุกปี
 ด้านการปกครองดูแลนักเรียน เมื่อจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น ทำให้งานด้านนี้ ต้องได้รับการวางแผนและปฏิบัติการที่เข้มข้นขึ้น โรงเรียนจึงต้องเพิ่มความเข้มงวด กวดขัน ทุ่มแรงกายแรงใจ เพิ่มขึ้น เพราะนักเรียนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามโลกตามสมัย ตามสื่อทุกรูปแบบ ทำให้ครูต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง แม้จะมีปัญหาพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบของนักเรียน แต่ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาแก้ปัญหาของคุณครูทุกท่าน ทำให้ภาคเรียนนี้ผ่านพ้นไปในระดับที่น่าพอใจ
 ด้านครูและบุคลากรทางการศึกษา ในภาคเรียนนี้มีครูขอย้ายและขอโอนออกจากโรงเรียนหลายท่าน จากการไปสอบแข่งขันที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่าง ๆ เปิดสอบในช่วงเดือนเมษายน 2553 ที่ผ่านมา มีครูของเราที่สามารถสอบผ่านขึ้นบัญชี จำนวน 6 คน และถูกเรียกตัวไปรายงานตัวแล้ว 3 คน นั้นก็แสดงถึงความเก่ง และความสามารถ เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งแต่การขอโอนย้ายนั้น ด้วยเหตุผลของแต่ละคน หากเป็นครูอัตราจ้าง ก็เพื่อความก้าวหน้าและมั่นคงในชีวิต ส่วนข้าราชการครู ก็มีเหตุผล ย้ายไปอยู่รวมกับครอบครัว หรือ เพื่อสะดวกในการดูแลบิดามารดา เนื่องจากต้องเข้ารับการรักษาตัวบ่อย ๆ ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวนั้นยังไม่ได้รับสิทธิการจ่ายตรง โรงเรียนพบปัญหาอุปสรรค ที่ต้องพัฒนาคนใหม่ อย่างต่อเนื่อง เพราะก็มีครูใหม่มาผลัดเปลี่ยนกันเรื่อย ๆ แต่โรงเรียนก็ได้วางแผนพัฒนาครูอย่างเป็นระบบทั้งกระบวนการพี่สอนน้อง เพื่อนสอนเพื่อน เรียนรู้จากการปฏิบัติ
 ด้านอาคารสถานที่ ถือว่า ได้พัฒนาไปมาก คือ มีการสร้างอาคารเรียน 4 ชั้น เพิ่มเติม อีก 1 หลัง และขณะนี้กำลังมีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง การก่อสร้างบ้านพักครู 2 ชั้น 16 ห้องนอน ซึ่งเป็นงบประมาณ พ.ศ. 2552 เพิ่มเติม ถือว่าเป็นความหวังของครูที่มีความจำเป็นต้องมาพักในโรงเรียน และบางท่านต้องไปเช่าอยู่นอกโรงเรียน รวมทั้งระบบประปาขนาดใหญ่ ก็เช่นเดียวกัน
 ด้านแผนและงบประมาณ มีการบริหารงานที่คล่องตัวขึ้น เนื่องจากมีการโอนงบประมาณมาที่โรงเรียน ทำให้การเบิกจ่ายสิ้นสุด ณ ที่โรงเรียน และเบิกจ่ายได้ทันเวลา
 ด้านการมีส่วนร่วม โรงเรียนได้จัดกิจกรรมที่หลากหลายเพิ่มขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาส เข้าไปพัฒนา ชุมชนและท้องถิ่น ของตนเอง ซึ่งแต่เดิมก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบันทึกที่นักเรียนเรียกสั้น ๆ ว่า “การบ้าน ผอ.” เพื่อไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทั้งที่วัด วา อาราม ที่ศาลากลางหมู่บ้าน และกิจกรรมในวันสำคัญต่าง ๆ ในขณะที่ทางชุมชนก็เข้ามามีส่วนร่วมให้ความรู้กับนักเรียนโดยเฉพาะด้านช่างยนต์ ด้านสุขภาพอนามัย และด้านเกษตรกรรม การจัดกรรมต่าง ๆ ทั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ที่มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนมาเป็นประธานในกิจกรรมคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ การออกไปร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูนในการปลูกหญ้าแฝก ร่วมบวชป่า ในอำเภอลี้ และที่สำคัญทีมคณะกรรมการสถานศึกษาที่ร่วมใจกันพัฒนาโรงเรียนอย่างเต็มกำลังความสามารถ
 ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) นับเป็นความโชคดีของโรงเรียนนาทรายวิทยาคม ที่ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ได้ให้ความสำคัญต่อการจัดการศึกษาทั้งระดับจังหวัดโดยมีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ในการที่จะมอบสื่อด้านบริการเข้าถึงข้อมูลการเรียนรู้ (School Online) ให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ ในจังหวัดลำพูน แต่ด้วยความพร้อมด้าน ICT ของโรงเรียนนาทรายวิทยาคมมีน้อย จึงต้องมีการปรับปรุงเครือข่ายความเร็วอินเตอร์เน็ต จากที่เคยรับจากจาน IP-Star ซึ่งพบปัญหาบ่อยครั้ง เมื่อฝนฟ้า ไม่อำนวย และไม่สามารถรองรับการบริการ School Online ได้ จึงต้องปรับความเร็วอินเตอร์เน็ตให้ได้อย่างน้อย 5 Mbs จึงได้มีการจัดสรรงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพิ่มเติม จำนวน 300,000 บาท พร้อมกับจัดซื้อสื่อการเรียนการสอนวิชาช่างยนต์และคอมพิวเตอร์ธุรกิจ อีกจำนวน 400,000 บาท
 ด้านการเรียนรู้ขององค์การ โรงเรียนได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานการ School Based ในเรื่องต่าง ๆ เช่น ด้านแผนและงบประมาณ วิชาการ บุคคล และด้านอื่น ๆ ทำให้ครูและบุคลากร รวมทั้งโรงเรียนมีการพึงตนเองมากยิ่งขึ้น เกิดการเรียนรู้ในการทำงาน การแก้ปัญหา เป็นการสร้างความเข้มแข็งแก่สถานศึกษาแห่งนี้ ที่จะสามารถรองรับการเจริญเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า ได้รับการยอมรับ และชื่นชมจากทุกฝ่ายเพิ่มขึ้นนั้นเอง

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

“ ครูมืออาชีพตามมาตรา 24 ”

“ ครูมืออาชีพตามมาตรา 24 ”

เนื้อหาเกี่ยวกับความสำคัญ ภาระหน้าที่ กลยุทธในการสอนของครู ตามแนวทาง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

ถ้าจะมีผู้ตั้งคำถามว่า หัวใจของการปฏิรูปการศึกษา คือ อะไร คำตอบที่ถูกต้อง ก็น่าจะเป็นการปฏิรูปการเรียนรู้ หรือการปฏิรูปการเรียนการสอนนั่นเอง เพราะถ้าเราได้อ่านพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 อย่างละเอียด อย่างพินิจ พิเคราะห์ก็จะพบว่า สาระทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในทุกมาตรา นำไปสู่การปฏิรูปการเรียนรู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ คือ การมุ่งไปสู่การพัฒนาผู้เรียนเป็นสำคัญ
การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้จะสำเร็จได้ต้องมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์ การปรับกระบวนการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มศักยภาพและสอดคล้องตามจุดประสงค์ของการศึกษาแต่ละระดับ ปรับให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ และปรับบทบาทของครูจากผู้ถ่ายทอดความรู้มาเป็นผู้อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ ชี้แนะ สนับสนุนเอาใจใส่ให้เด็กได้เรียนรู้อย่างเป็นกระบวนการ ครูควรใช้เทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสมกับวัย ส่งเสริมผู้เรียนให้สร้างองค์ความรู้จากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่สัมผัส ปฏิบัติด้วยตนเอง ใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ใช้แหล่งความรู้นอกเหนือจากห้องเรียน โรงเรียน และหนังสือ
ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการจัดกระบวนการเรียนรู้มีอยู่ 4 ประการ คือ 1. หลักการเรียนรู้ 2. บทบาทครู 3. บทบาทเด็ก 4. การจัดสภาพการเรียนรู้ ดังนี้
1. มีความเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในการสร้างองค์ความรู้โดยอาศัยสภาพความเป็นจริง
2. จัดประสบการณ์เรียนรู้ที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัย และความสามารถของเด็ก
3. บูรณาการเนื้อหา กิจกรรมและทักษะการเรียนรู้โดยเชื่อมโยงพื้นฐานเด็ก
4. ให้โอกาสเด็กได้สัมผัสปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง
5. ให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูโดยทำงาน แลกเปลี่ยนความคิดและปรับตัวทางสังคมร่วมกัน
6. ให้เด็กมีโอกาสคิด เลือก ตัดสินใจในการทำกิจกรรม โดยมีผู้ใหญ่คอยให้กำลังใจ
7. สร้างบรรยากาศที่ให้เด็กมีคิดอิสระและสนับสนุนความคิดริเริ่ม
8. สร้างเสริมความรู้สึกภูมิใจในการทำกิจกรรมและความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
9. ติดตามสังเกตเด็ก สะท้อนข้อมูลจากการสังเกตและประเมินผล
10. ปรับเปลี่ยนบทบาทครูในฐานะผู้สอนเป็นผู้สังเกต ผู้เรียนรู้และผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
11. ส่งเสริมและให้ความสำคัญกับบทบาทพ่อแม่และสถาบันครอบครัวในการอบรมเลี้ยงดู และให้การศึกษาเด็ก
มาตรา 24 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กล่าวถึง การจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับ ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
ความสำคัญ ภาระหน้าที่ กลยุทธในการสอนของครู
ในแต่ละชั้นแต่ละห้องผู้เรียนมีอายุไล่เลี่ยกัน ส่วนใหญ่มาจากท้องถิ่นเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน มองดูเหมือนเหมือน ๆ กัน แต่ในความเป็นเด็กเหมือนกันนั้น พวกเขาก็มีความแตกต่างกันอยู่ด้วยทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกลักษณะนิสัย ความเฉลียวฉลาดในการเรียนรู้ช้าเร็วต่างกัน แต่ในความแตกต่างนี้ก็เป็นมุมของความงดงามในสังคมมนุษย์ที่จะเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทดแทนกันและกัน เรียนรู้จากกันและกัน ความแตกต่างจึงมีคุณค่าในการพัฒนา
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีกิจกรรมที่หลากหลายวิธี ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตร สภาพแวดล้อม ความสนใจและศักยภาพของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเป็นคนดี เก่ง และมีความสุข
การจัดกิจกรรมที่เน้นกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รู้จักตนเอง รู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น รู้จักพึ่งพาอาศัยกัน รู้วิธีศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง และศึกษาหาความรู้ร่วมกับผู้อื่น รู้จักประเมินตนเองและยอมรับผลการประเมินจากผู้อื่น การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน การสอนแบบบูรณาการ การสอนแบบให้เด็กมีส่วนร่วม ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข
การให้เด็กทำโครงงาน เรียนแบบมีส่วนร่วม พยายามชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของวิชานั้น ๆ กระตุ้นให้เด็กไปหาความรู้เพิ่มเติม กระบวนการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ การเรียนแบบนี้ใช้เวลา ฉะนั้นการเรียนในชั่วโมงอย่างเดียวไม่พอ แนะวิธีการศึกษาด้วยตนเองตามความเหมาะสม ครูต้องเหนื่อยกว่าปกติ แต่คุ้มค่าที่ได้ทำให้เด็กฉลาดขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักสื่อความหมาย เด็กได้เรียนในสิ่งที่เขาสนใจ ความถนัด ถ้าเด็กชอบการ์ตูนก็ให้เด็กสื่อออกมาในรูปของการ์ตูนได้

(2) ฝึก ทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
ความสำคัญ ภาระหน้าที่ กลยุทธในการสอนของครู
การสอนให้นักเรียนมีกระบวนการให้นักเรียนรู้วิธีเรียน (Learn how to learn) ไม่ใช่จำเนื้อหาวิชา นักเรียนก็จะมีความรู้ติดตัวไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ นอกจากทักษะกระบวนการแล้ว ทักษะการจัดการซึ่งผู้เรียนควรมีลักษณะ 3 ประการ คือ 1. รู้จักนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2. รับรู้กระบวนการและนำไปใช้ได้ 3. เห็นช่องทางในการนำสิ่งที่เรียนไปประกอบอาชีพ - รายได้
ดังนั้นครูผู้สอนจึงมีภาระหน้าที่ และกลยุทธในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้ฝึก ทักษะต่าง ๆ ดังนี้ กระตุ้นให้เด็กฝึกการคิดโดยใช้คำถาม หรือปัญหานำ อาจใช้ของเล่น หรือกรณีเหตุการณ์ ข่าวประจำวัน ตามหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ดึงมาเป็นหัวข้อให้เด็กวิจารณ์ แสดงความคิดเห็น หรือไปดูสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นตามข่าว ค้นหาคำตอบ แล้วร่วมกันสรุป ทำให้เด็กได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียน ไม่ใช่ ต้องเรียน
ฝึกนักเรียนให้คิด และวิเคราะห์ด้วยตนเอง และทำงานแบบกลุ่ม พร้อมกระตุ้นเด็กให้เกิดการเรียนรู้ในแต่ละด้าน ไม่ควรแยกเด็กออกจากัน คำถามแต่ละคำถามครูต้องรู้ว่าเด็กอยู่ในระดับไหน และปล่อยให้เด็กได้หาคำตอบด้วยตนเอง
โรงเรียนจัดให้มีกิจกรรมค่ายต่าง ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย เพื่อให้เด็กเกิดกระบวนการคิดอย่างสร้างสรรค์โดยถ่ายทอดความคิดอย่างสร้างสรรค์ โดยถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม บางครั้งเด็กก็จะเป็นครูของเราโดยไม่รู้ตัว ในแง่ของความคิด ซึ่งเด็กจะมีการเสนอวิธีคิดออกมาแบบง่าย ๆ น่าสนใจ
การวิเคราะห์ คือ การแยกส่วน การฝึกวิเคราะห์ควรเริ่มด้วยการให้ผู้เรียน “มองต่างมุม” และ “มองหลายมุม” แนวทางหนึ่งของการฝึกวิเคราะห์ คือ การใช้คำถาม ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เท่าไร ทำไม

(3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
ความสำคัญ ภาระหน้าที่ กลยุทธในการสอนของครู
บรูเนอร์ (Jerome Bruner) เสนอว่า การสอนนั้นจะต้องเป็นการให้ผู้เรียนได้เริ่มจากประสบการณ์ตรงไปสู่ประสบการณ์ผ่านภาพ (Iconic) ซึ่งเป็นตัวแทนของประสบการณ์จริง แล้วเรื่อยไปสู่ลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์ (Symbol) อัลคอร์น (Alcorn) และคณะได้สรุปจากประสบการณ์ว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มักจะจดจำสิ่งที่เรียนจากน้อยไปหามากดังนี้ จากสิ่งที่ 1.อ่าน 2. ฟัง 3. เห็น 4. ฟังและเห็น 5. พูด-อภิปราย 6. การกระทำ และจากกรวยประสบการณ์ของเอการ์ เดล สิ่งที่ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วและมีคุณค่า จำอย่างถาวรมากที่สุด คือ การเรียนรู้จากของจริง ประสบการณ์การตรง
ภาระหน้าที่ของครูผู้สอนจึงต้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ให้ได้ปฏิบัติจริงให้มากที่สุด เพื่อค้นหาคำตอบและสรุปด้วยตนเอง ฝึกให้ผู้เรียนเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี และเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของชีวิตจริง
การสอนโดยให้เด็กออกไปฝึกงาน ฝึกประสบการณ์หรือวิธีปฏิบัติมากกว่าที่จะนั่งเรียนในห้องอย่างเดียว
ให้ผู้เรียนทำโครงงานนำเสนอแนวคิด และขั้นตอนการดำเนินงานพร้อมทั้งให้ได้ปฏิบัติจริง เพื่อสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
การสอนแบบทดลอง มุ่งให้ผู้เรียนเรียนโดยลงมือกระทำ หรือโดยการสังเกต ค้นหา ข้อสรุปหรือความจริงด้วยตนเอง
จัดกิจกรรมมุ่งเน้นให้ผู้เรียนใฝ่รู้ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น รู้จักแยกแยะ เชื่อมโยง เป็นระบบ กล้าแสดงออกใช้หลักเหตุและผลในการรับฟังความคิดเห็นและประเมินผลร่วมกัน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุง เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยครูจะต้องคอยส่งเสริม จัดสภาพแวดล้อมและอำนวยการให้เกิดสิ่งเหล่านี้บนความเชื่อพื้นฐานว่า ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในทางที่ถูกอีกทั้งครูต้องยอมรับการกระทำนั้น ๆ ยกย่องและให้กำลังใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใฝ่รู้ มีนิสัยชอบปฏิบัติและสร้างสรรค์ผลงานอย่างมีความสุข
ให้มีการสร้างทัศนคติค่านิยมใหม่ ๆ ให้แก่ผู้เรียน ดังนี้ 1. พัฒนาให้มีท่าทีหิวกระหายการเรียนรู้ 2. พัฒนาให้มีท่าทีกระตือรือร้นในการเรียนรู้ 3. พัฒนาให้มีท่าทีอุทิศตัวเอาจริงเอาจังในการเรียนรู้ 4. พัฒนาท่าทีที่เชื่อฟังและยอมรับการสอนเสมอ 5. พัฒนาท่าทีให้มีท่าทีถ่อมใจ ยินดีเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
(4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
ความสำคัญ ภาระหน้าที่ กลยุทธในการสอนของครู
โลกในทศวรรษหน้าจะต้องการคนที่มีความสามารถในการผสมผสานศาสตร์หลาย ๆ อ่างเข้าด้วยกัน เพื่อนำไปใช้ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด เช่น นักการเมือง ผู้ที่เป็นได้ทั้งผู้นำที่สามารถ นักการเงินตัวยง และนักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ที่สามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง โดยไม่เป็นภาระกับสิ่งแวดล้อม แต่จากสภาพปัจจุบันโลกของเรากลับมีทิศทางไปในทางตรงกันข้าม ทุกอย่างถูกแยกจากกันเป็นชิ้น ๆ ในโรงเรียนเด็กทุกคนชินชากับการไปโรงเรียนเพื่อนั่งสังเกตว่า ต้องทำเลขอย่างไร ในตอนเช้า พอตกบ่ายก็ต้องมานั่งจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมวิทยา ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลย พอเรียนจบไปแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ใหม่อีกครั้งจากโลกภายนอก ดังนั้น การเรียนในโรงเรียนก็เป็นสิ่งที่สูญเปล่า หลักสูตรแบบบูรณาการจึงจำเป็นสำหรับทศวรรษหน้าและอนาคต เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีนักคิด นักการศึกษาหลายคนได้เริ่มนำ ศิลปะแห่งการผสมผสานหลักสูตร มาใช้เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ทักษะแห่งการผสมผสานอันเป็นคุณลักษณ์ที่จำเป็นอย่างมากในทศวรรษที่ 21
ถ้าเราต้องการจะให้คนรุ่นใหม่เป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่เรียน (Lifelong Learner) และเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ดีไปพร้อม ๆ กัน เราต้องช่วยให้ผู้เรียน เกิดความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนกับชีวิต จะต้องทำให้เขาทราบว่า เขาเป็นส่วนหนึ่งของโลก เขาสามารถใช้ทักษะวิทยาการต่าง ๆ ที่เรียนมาใช้ในการแก้ปัญหาได้จริง
Story Line Method คือ การเอาทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎีมาใช้ร่วมกัน เช่น การบูรณาการ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน เชื่อมโยงออกไปสู่วิถีชีวิตจริง การค้นคว้าหาความรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นต้น Story Line Method มีความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า ความรู้ควรมีลักษณะเป็นองค์รวม ผลการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับวิธีการได้มาซึ่งความรู้นั้นและประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นสำคัญและผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีต้องผ่านการกระทำของตนเองด้วยประสบการณ์ตรง หลักการของ Story Line คือ การสร้างเรื่องหรือสถานการณ์สมมติที่จะศึกษาให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่จะเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ
ความสำคัญ ภาระหน้าที่ กลยุทธในการสอนของครู
การจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนการสอน และสิ่งต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวย เพิ่มความสะดวกแก่ผู้เรียน และผู้สอน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่ง ต่อการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้
โรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมทั้งครูผู้สอนจึงมีภาระหน้าที่ที่จะต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของครูกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน ครูกับครู ให้โอกาสอิสระในการลองผิดลองถูก มีความหลากหลาย มีอิสระในการเลือก บรรยากาศเป็นมิตรไมตรีต่อกัน เรียนรู้ร่วมกัน หากมีการแข่งขันก็มุ่งเน้นการพัฒนา เวลาที่เหมาะสม เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ มีความสนุกสนาน ครูผู้เรียนมีการตื่นตัวตลอดเวลา มีความสนุกในการเรียนรู้ สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการจัดหา ผลิตสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมเพียงพอ
ครูทุกคนสามารถทำวิจัยและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน (Classroom Research) เพื่อสร้างนวัตกรรมการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง เรียนอย่างคิดเป็นทำเป็น พัฒนาเต็มศักยภาพและมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การทำให้เด็กไทยฉลาด เป็นคนเก่ง คนดี คือ บทบาทและภาระกิจของคุณครูทุกคน และสถานศึกษาทุกแห่ง
(6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ

การจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงของผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่ใกล้ตัวจนถึงสังคมโลก เช่น สภาพปัญหาในชุมชน การประกอบอาชีพในชุมชนฯ
กิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดจะเอาเด็กเป็นตัวตั้ง ตัวอย่าง การนำภูมิปัญญาในชุมชนใกล้เคียงมาใช้ในโรงเรียน ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เชิญวิทยากรมาให้ความรู้แก่เด็กและครู เปิดโอกาสให้เด็กได้ออกมาแสดงความคิดเห็นร่วมกัน โดยเน้นบทบาทของการแสดงออกเป็นสำคัญ จัดให้มีค่ายวิทยาศาสตร์ ร่วมกับโรงเรียนอื่น ๆ ในเขต หรือในสหวิทยาเขต หรือกลุ่มโรงเรียน สำหรับนักเรียนที่มีความสนใจ
การเรียนการสอนไม่ได้อยู่แต่ในโรงเรียน เด็กสามารถไปศึกษาที่บ้านหรือท้องถิ่นได้ การเรียนรู้ไม่มีขีดจำกัด ครูสามารถสร้างเจตคติให้เด็กสนใจได้


ยงยุทธ ยะบุญธง
เรียงความที่ได้รับรางวัลจากการประกวด ของ สกศ. พ.ศ. 2543

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ONET-NASAI

การนำผลคะแนน O-NET ไปใช้พัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนภายในโรงเรียน นาทรายวิทยาคม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

บทความ เรื่อง การนำผลคะแนน O-NET ไปใช้พัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนภายในโรงเรียนนาทรายวิทยาคม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอวิธีการที่โรงเรียนได้ให้ความสำคัญต่อการสอบ O-NET และการนำผลไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างเป็นรูปธรรม และเกิดผลดีขึ้นตามลำดับ โดยจะขอนำเสนอ ตามหัวข้อ ดังนี้ 1) สภาพบริบทของโรงเรียนนาทรายวิทยาคม 2) การให้ความสำคัญของการสอบ O-NET 3) การนำผลคะแนน O-NET ไปใช้พัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนภายในโรงเรียน 4) คะแนน O-NET ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา 5) ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการพัฒนาในปีต่อไป 6) บทสรุป โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. สภาพบริบทของโรงเรียนนาทรายวิทยาคม
พระธาตุเด่น พระรอดขลัง ลำไยดัง กระเทียม ศรีหริภูญชัย เป็นคำขวัญของจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ในทางภาคเหนือของประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานจังหวัดลำพูนมีประชากร 409,056 คน (สำนักงานจังหวัดลำพูน, http://www.lamphun.go.th/index2.php) ประกอบด้วย 8 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอป่าซาง อำเภอบ้านธิ อำเภอแม่ทา อำเภอบ้านโฮ่ง อำเภอเวียงหนองล่อง อำเภอทุ่งหัวช้าง และอำเภอลี้ และจากข้อมูลการศึกษา จังหวัดลำพูนมีการจัดระบบการศึกษา ทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียน มีสถานศึกษาในระบบ ตั้งแต่อนุบาลถึงระดับอุดมศึกษา มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 2 เขตพื้นที่ การศึกษาในระบบโรงเรียน มีสถานศึกษาทั้งหมด 355 แห่ง ระดับประถมศึกษา 275 แห่ง สถานศึกษาเอกชน 26 แห่ง ระดับมัธยมศึกษา 17 แห่ง อาชีวศึกษา 4 แห่ง ร.ร.พระปริยัติธรรมแผนกสามัญ 10 แห่ง กองการศึกษาส่วนท้องถิ่น (เทศบาล) 7 แห่ง และมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย 1 โรงเรียนนาทรายวิทยาคม ตั้งอยู่ในอำเภอลี้ ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2550 เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ถึง 6 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาช่างยนต์และคอมพิวเตอร์ธุรกิจ เป็นโรงเรียนมัธยมแห่งแรกและแห่งเดียวที่ถ่ายโอนฯ ในปีการศึกษา 2553 นี้ มีการจัดการเรียนการสอน 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ในระดับชั้น ม.3 และ ม.6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2545 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2546) ในปีการศึกษา 2553นี้ มีจำนวนนักเรียน 20 ห้องเรียน 519 คน มีข้าราชการสายบริหาร จำนวน 1 คน สายผู้สอน 16 คน ครูอัตราจ้างตามภารกิจ จำนวน 14 คน เจ้าหน้าที่ธุรการ – การเงินบัญชี จำนวน 2 คน นักการภารโรงจำนวน 2 คน และ พนักงานขับรถจำนวน 1 คน

2. การให้ความสำคัญของการสอบ O-NET
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดให้มีการวัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียนไว้ 3 ระดับ คือ ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ละระดับชาติ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษาเกี่ยวกับคุณภาพของผู้เรียน
1. การวัดผลและประเมินผลระดับชั้นเรียน เป็นหน้าที่ของครูผู้สอนที่จะต้องหาคำตอบว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าทั้งด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ คุณธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ เนื่องมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมากน้อยเพียงใด
2. การประเมินผลระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้นปีสุดท้ายของแต่ละช่วงชั้น คือ ป.3 ป.6 ม.3 และ ม.6
3. การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (Ordinary National Education Test หรือ O - NET) เป็นการทดสอบความรู้ทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ของผู้เรียนที่กำลังศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และปีที่ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีที่ 6 ทุกคน ทุกสังกัด ต้องเข้ารับการทดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เรียกย่อว่า สทศ. ซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกที่ทำหน้าที่ในการประเมินระดับชาตินั่นเอง
โรงเรียนนาทรายวิทยาคม ได้ให้ความสำคัญของการสอบ O-NET โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี 3 หลัก คือ หลักคิด (หลักการ วิสัยทัศน์ และนโยบาย) หลักวิชา (ความรู้และประสบการณ์) และหลักปฏิบัติ ดังนี้ มีการกำหนดเป็นวิสัยทัศน์ กำหนดนโยบาย และใช้หลักการ ดังนี้ หลักการพัฒนาคุณภาพ (Quality Management) หลักการมีส่วนร่วม (Participation) หลักการ 3 องค์ประกอบ (3-Es) และหลักความเป็นวิชาการ (Academic) มีหลักปฏิบัติ คือ จัดให้มีภาระงานด้านนี้ไว้ในโครงสร้างการบริหารสถานศึกษา มีผู้รับผิดชอบ คณะทำงาน กำหนดบทบาทหน้าที่ มีการจัดทำแผนระยะ 3 ปี แผนปฏิบัติการประจำปี มีการกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด เครื่องมือ และเกณฑ์การวัด ไว้อย่างชัดเจน

3. การนำผลคะแนน O-NET ไปใช้พัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนภายในโรงเรียน
โรงเรียนได้ร่วมกันกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย กำหนดวิสัยทัศน์ ด้านการเรียนการสอน ไว้ดังนี้ “ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญโดยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ให้ความสำคัญทั้งด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านคุณธรรม และเจตคติ สามารถบูรณาการ นำไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาและการดำรงชีวิต ตลอดจน มุ่งเน้นในการศึกษา ค้นคว้า วิจัยของครู เพื่อนำผลมาพัฒนาการเรียนการสอนให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น” และได้กำหนดนโยบาย ดังนี้
“สูงกว่ามาตรฐาน คือ เป้าหมาย ขวนขวาย ข้อมูลสนเทศ ครบ
เกณฑ์ คัด แยก คน ชัด พัฒนา ส่งเสริม แก้ไข ตรงจุด รุดหน้า ทุกตัวชี้วัด”
พันธกิจ (Mission) พันธกิจหลักที่โรงเรียนเน้นในการดำเนินการมีดังนี้
1. เป็นสถานศึกษาต้นแบบการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมาตรฐานคุณภาพของโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2. พัฒนากระบวนการคิด เพื่อให้ผู้เรียนมีศักยภาพในการแสวงหาความรู้
3. ส่งเสริมการวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้
4. พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา เพื่อบริการวิชาการ และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
ยุทธศาสตร์ (Strategy)
1. การจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและมาตรฐาน
2. จัดหาและพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
3. พัฒนาระบบเพื่อการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ
4. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนนำไปสู่การเป็นโรงเรียนต้นแบบ
5. การพัฒนาการให้บริการแก่ชุมชน ท้องถิ่นและธำรงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรม

การนำนโยบายสู่การปฏิบัติ เพื่อไปสู่เป้าหมาย และวิสัยทัศน์ ด้านการเรียนการสอนได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
1. การศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ คู่มือสำหรับผู้บริหารในการนำผลการสอบ O-NET ไปวางแผนปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาครู-นักเรียน (สทศ, 2550)
2. การศึกษา วิเคราะห์ และประเมินสภาพบริบทด้านการเรียนและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน (การวิเคราะห์สภาพบริบทด้านการเรียน โรงเรียนนาทรายวิทยาคม, อัดสำเนา)
3. การวางแผนยุทธศาสตร์กลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มฯ
4. การปฏิบัติการตามแผนดำเนินงาน
5. การประเมินระหว่างการปฏิบัติ
6. การนิเทศ กำกับ ติดตาม และรายงาน
7. การประเมินเมื่อสิ้นสุด
ในขั้นตอน การศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ คู่มือสำหรับผู้บริหารในการนำผลการสอบ O-NET ไปวางแผนปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาครู-นักเรียน ของสถาบันทดสอบแห่งชาติ (สทศ, 2550) โดยผู้บริหารและคณะกรรมการบริหารงานวิชาการ ซึ่งมีผู้รับผิดชอบงานประมวลผลการเรียนรู้เป็นเลขาคณะทำงาน จัดทำแนวทางการปฏิบัติงานที่สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพบริบทและเวลาของโรงเรียนให้มากที่สุด ตามแนวปฏิบัติเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน และขั้นตอนการพัฒนาครูและนักเรียน (สทศ, 2550, หน้า 10 - 11) หลังจากนั้นได้มอบแนวทางที่จัดทำขึ้น และคู่มือฯ ของ สทศ.ฯ ดังกล่าวให้ครูทุกท่าน ทางอีเมล์ และจัดประชุมคณะครูทุกท่าน ได้นำไปศึกษาและปฏิบัติตาม โดยเพิ่มเติมรายละเอียดในการปฏิบัติบางอย่าง
ขั้นตอนการศึกษา วิเคราะห์ ประเมินสภาพบริบทด้านการเรียนและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน (SWOT) ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจและสำคัญอย่างยิ่งขั้นตอนหนึ่ง โดยจัดประชุมสัมมนา อภิปรายกลุ่ม ของคณะครูและคณะกรรมการสถานศึกษา ทั้งโดยรวมและแยกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และจุดที่ต้องพัฒนา ของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยการนำผลการสอบวัดผลปลายภาคในปีการศึกษานั้น ๆ รวมทั้งผลสอบ O-NET มาวิเคราะห์ ย้อนกลับไป 3 – 5 ปี เพื่อดูแนวโน้ม มาตรฐานและตัวชี้วัดที่นักเรียนอ่อนด้อย ตรวจสอบโครงการสอน และแผนการจัดการเรียนรู้ ประเมินสภาพบริบทที่มีผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอน บันทึก หาแนวทาง ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในโอกาสต่อไป และจัดหา จัดสร้าง นวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนั้นยังได้จัดหาคู่มือการวัดและประเมินผลของสถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ เพื่อมอบให้แต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้ศึกษา แนวทางการออกแบบทดสอบ และจัดฝึกอบรมให้ความรู้และทักษะในการจัดทำแบบทดสอบตามแนวทางของ สทศ. และการวิเคราะห์แบบทดสอบของครูในแต่ละภาคเรียนโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ
ขั้นตอนการวางแผนกลยุทธ์ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยครูในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ จัดทำแผนงาน โครงการ เพื่อแก้ไข และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้เพิ่มขึ้น นำเสนอต่อกลุ่มใหญ่ ทำข้อตกลงกับผู้บริหารโดยหัวหน้ากลุ่มฯ และจัดทำเป็นประกาศโรงเรียน ติดไว้ในที่ที่ทุกคนได้เห็นทุกวัน
ขั้นตอนการปฏิบัติตามแผนการดำเนินงาน โดยเลขาโครงการฯ หรือ กิจกรรม ซึ่งมีทั้งการจัดในลักษณะการบูรณาการ หรือจัดขึ้นเป็นการเฉพาะ มีทั้งที่จัดเป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มระดับชั้น กลุ่มเล็ก และรายบุคคล การจัดกิจกรรมต่าง ๆ จัดให้มีอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ตามระบบดูแลช่วยเหลือ และระบบการจัดทำสารสนเทศที่เป็นปัจจุบัน และใช้อย่างมีประสิทธิภาพ คัด แยก กลุ่มนักเรียน ตามตัวชี้วัด ทั้งด้านการเรียน และมาตรฐานคุณภาพด้านผู้เรียน กำหนดผู้รับผิดชอบพัฒนาและแก้ไขปัญหา เป็นการพัฒนาอย่างองค์รวมและเฉพาะ ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ด้านสุขภาพกาย ค่า BMI ของนักเรียน แยกออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น ผอมมากที่สุด ผอมปานกลาง และผอม กลุ่มปกติ กลุ่มท้วม กลุ่มอ้วน กลุ่มอ้วนมาก และหาแนวทางแก้ไข ส่งเสริม อย่างเป็นรูปธรรม ด้านการอ่าน แยกออกเป็น 5 ระดับ และจัดคลินิก เพื่อแก้ไขปัญหา โดยใช้คาบอิสระ การส่งเสริมวิชาการ และกิจกรรมชุมนุม พัฒนาผู้เรียนมาแก้ปัญหา โดยมีทีมครูและเพื่อน ๆ ที่มีศักยภาพมาช่วยดูแล เป็นต้น ทำให้กิจกรรมนี้มีความชัดเจน เปรียบเหมือนมีหมอเฉพาะทางให้การรักษาโรคแต่ละโรคนั่นเอง
กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน พี่สอนน้อง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 เป็นการใช้เทคนิคการจัดกลุ่มนักเรียนเพื่อมาช่วยกันด้านการเรียน โดยมีครูแต่ละท่านรับผิดชอบอีกชั้นหนึ่ง เริ่มจากคู่เก่ง – อ่อน (2 คน - คู่บัดดี้) 2 คู่ เป็นกลุ่มเล็ก (4 คน) ในระดับชั้น ม.3 มีพี่เลี้ยงจาก ม.4 และ ม.5 ที่เรียนเก่งมาเป็นพี่เลี้ยง 1 คน และครูจะรับผิดชอบดูแล นักเรียนกลุ่มเล็ก 1 – 2 กลุ่ม รวม (4 – 8 คน) เพื่อให้คู่บัดดี้ช่วยกันดูแลเรื่องกิจกรรมทางการเรียน โดยมีครูที่ปรึกษากลุ่มติดตามอย่างใกล้ชิด นักเรียนทุกกลุ่มจะต้องปฏิบัติกิจกรรมการยกระดับผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน และเข้าพบครูที่ปรึกษาทุกเช้าก่อนการเข้าเรียนตามปกติ จัดกิจกรรมการติวข้อสอบร่วมกัน ให้คำปรึกษาสำหรับมาตรฐานและตัวชี้วัดที่มีปัญหา ทำให้นักเรียนในกลุ่มมีความรักใคร่สามัคคีและติดตามผลการเรียนของตนเองอย่างใกล้ชิด
โครงการสอนเสริมแบบเข้มเพื่อเตรียมความพร้อมในการทดสอบระดับชาติ(O - NET) เป็นโครงการที่ต่อเนื่อง จากปีการศึกษา 2550 เป็นต้นมา โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ในแต่ละปีมีการเพิ่มกิจกรรมให้เข้มข้นมากขึ้น โดยในปีการศึกษา 2550 มุ่งพัฒนาเฉพาะนักเรียนที่อยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการเน้นการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาเป็นสำคัญ ปีต่อมามีการสอนเสริมแบบเข้มแก่นักเรียนทั้งระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 โดยจัดให้มีการเรียนนักเรียนชั้น ม.2 และ ม.5 ในช่วงปิดภาคฤดูร้อน (มีนาคม – เมษายน) เพื่อให้มีการเรียนการสอนเนื้อหาให้จบหลักสูตรก่อนเดือนธันวาคมของแต่ละปี หลังจากนั้นจัดให้มีการทบทวนความรู้ทั้งในระดับช่วงชั้น (ม.1- 3 และ ม. 4 -6) ในช่วงเดือนมกราคม ก่อนมีการทดสอบระดับชาติ ในเดือนกุมภาพันธ์ของแต่ละปี
ในขั้นการเตรียมการสอนเสริมแบบเข้ม มีการประชุมชี้แจง และขอความเห็นชอบจากผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียนชั้น ม. 2 และ ม. 5 ที่จะจบการศึกษาในปีการศึกษานั้น ๆ รวมทั้งผู้ปกครองของนักเรียน ให้ได้รับทราบและปฏิบัติอย่างถูกต้อง ตรงกัน ในการประชุมแต่ละกลุ่ม ผู้บริหารสถานศึกษาได้เป็นผู้แจ้งจุดประสงค์ กิจกรรมตามโครงการ พร้อมกับขอความร่วมมือจากนักเรียนและผู้ปกครองโดยการทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ ในขั้นการดำเนินการสอนเสริมแบบเข้ม ได้ประสานขอความร่วมมือครูจากสถานศึกษาอื่น ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์การสอน ในสาขาวิชานั้น ๆ และเป็นที่รู้จัก มาเป็นผู้สอน กำหนดเป็นตารางเช้า - บ่าย เน้นในด้านแบบทดสอบตามมาตรฐานการศึกษา โดยเริ่มมีการสอนในช่วงตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึง เดือนมกราคม ของทุกปี
โครงการทดสอบวัดความรู้ก่อนการทดสอบระดับชาติ (Pre O-NET) มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดผลและเตรียมความพร้อมแก่นักเรียนโดยใช้ข้อสอบของ สทศ. ที่ดาวน์โหลดมา และคัดเลือกให้เหมาะสมทั้งเชิงปริมาณในแต่ละมาตรฐาน เวลา และอื่น ๆ จัดสอบให้เหมือนกับการสอบจริง ตามตารางสอบของ สทศ. โดยครูทุกคนให้ความสำคัญกับโครงการนี้เป็นมาก มีการประชุมก่อนการเริ่มโครงการ เพื่อทำความเข้าใจที่ตรงกัน ในส่วนของนักเรียนได้มีการประชาสัมพันธ์ตั้งแต่ต้นปี การอ่านหนังสือ อุปกรณ์การสอบ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน การให้รางวัลสำหรับนักเรียนที่มีคะแนนสอบสูงสุดในแต่ละกลุ่มรายวิชา นักเรียนในกลุ่มเป้าหมายเข้าสอบทุกคน และมีการประกาศผลการสอบอีกวันหนึ่งให้นักเรียนทราบและผู้บริหารสถานศึกษาได้มอบทุนการศึกษาและเกียรติบัตรแก่นักเรียนที่ได้ระดับคะแนนสูงสุดในแต่ละกลุ่มรายวิชา ในส่วนของครูนำผลการสอบมาปรับปรุง เพิ่มเติมในส่วนที่นักเรียน ยังมีปัญหา และจัดกิจกรรมเพิ่มเพิ่มเติม จนถึงสอบจริง
จากตัวอย่างกิจกรรมและโครงการดังกล่าวข้างต้น โรงเรียนนาทรายวิทยาคม ถือว่าเป็นกิจกรรมเด่นที่เป็นปัจจัยสนับสนุน ต่อระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนและผลคะแนนสอบในระดับชาติของแต่ละปีการศึกษา และนอกจากนี้ก็ยังมีงาน กิจกรรม โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอันเป็นตัวกระตุ้นและสนับสนุนการพัฒนาทางการศึกษาที่ได้ปฏิบัติเป็นกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นใหม่ทุกๆ ปี อาจยกตัวอย่างได้ดังรายละเอียดต่อไปนี้ เริ่มต้นจากการติดตาม นิเทศ แผนการจัดการเรียนรู้ของผู้อำนวยการโรงเรียนโดยสุ่มตรวจในช่วงเปิดภาคเรียนว่าครูท่านใดดำเนินการสอนตามแผนการสอน ซึ่งต้องสอดคล้องกับแผนการสอนอย่างย่อ และรายชั่วโมง โดยแผนดังกล่าวต้องอยู่ในห้องเรียน พร้อมรับการสุ่มตรวจสอบโดยผู้อำนวยโรงเรียน เมื่อสิ้นภาคเรียน มีการประชุมครูเพื่อดูว่า แผนการสอนรายชั่วโมงใด ใช้แล้วมีปัญหา ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงก็ให้ปรับปรุง หรือปัญหาส่วนที่เกิดขึ้นกับนักเรียนมีอะไรบ้าง เพื่อหาแนวทางแก้ไข จัดให้มีการประเมินคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนถิ่นของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ในช่วงใกล้สิ้นปีการศึกษา ทั้งนี้มีการเปิดการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ในภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษา 2552 รวมทั้งจัดให้มีชั่วโมงสอนเสริมในตารางเรียนของนักเรียนทุกระดับชั้น มีการพัฒนานักเรียนเป็นกลุ่มๆ โดยการจัดกิจกรรมการเข้าค่ายสอนเสริมใน 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้หลัก ของนักเรียนแต่ละระดับชั้น เพิ่มกิจกรรมการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการทดสอบระดับชาติแก่นักเรียนด้วยการแข่งขันการเขียนคำขวัญ การเขียนเรียงความ และการจัดบอร์ดความรู้ ทุกปีการศึกษา ส่งเสริมและให้ขวัญกำลังใจแก่ครูผู้พัฒนาการเรียนการสอนในด้านการจัดทำวิจัยในชั้นเรียน การศึกษารายกรณีและการใช้สื่อนวัตกรรมทางการสอน ระดับยอดเยี่ยมในทุกภาคเรียน และทางโรงเรียนนาทรายวิทยาคมก็เล็งเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองนักเรียนโดยมีการประชุมประจำภาคเรียน ชี้แจงผลการเรียน และร่วมกันกำหนดนโยบายการพัฒนานักเรียน มีส่วนร่วมในกิจกรรมวันสำคัญต่างๆ ของโรงเรียนและประเทศชาติ เชิดชูเกียรติกับแม่ดีเด่นในด้านต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม และที่สำคัญที่สุดก็คือการรายงานผลการพัฒนาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างเป็นขั้นตอน
กิจกรรมและโครงการกล่าวมานี้ เป็นเพียงตัวอย่างที่โรงเรียนนาทรายวิทยาคมได้ดำเนินการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครู ต้องมีการเปลี่ยนการสอน ให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้น มีวางแผนและวิเคราะห์การสอนอย่างเป็นระบบมากขึ้น มุ่งพัฒนาและแก้ปัญหาผู้เรียนได้อย่างตรงจุด ส่วนนักเรียนมีการพัฒนาให้มีเจตคติที่ดีต่อการจัดการเรียนการสอนมากขึ้นส่งผลให้นักเรียนชอบมาโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนรวมถึงทุก ๆ กิจกรรมที่จัดขึ้น และมีความสุขกับการเรียน ส่งผลให้ผู้ปกครองนักเรียนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องยอมรับในการจัดการศึกษาของโรงเรียน โดยการส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนในโรงเรียนเพิ่มขึ้นทุกปีร้อยละ 20 – 25
ขั้นตอนของการประเมินระหว่างการดำเนินการ นิเทศ กำกับ ติดตาม และการประเมินเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการนั้น มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ มีแผนการนิเทศ การประเมิน และการรายงาน ปฏิทินการปฏิบัติงาน และกำหนดส่งงาน โดยหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ หัวหน้ากลุ่มบริหารงาน และผู้บริหารสถานศึกษา
3. คะแนน O-NET ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
จากการทดสอบระดับชาติ (O - NET) ปีการศึกษา 2548 - 2552 รวม 5 ปี สรุปได้ดังนี้ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีการสอบ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้หลักอันได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาฯ และภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระหว่างปีการศึกษา 2548 ถึง 2551 ตามลำดับ และครบทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ในปีการศึกษา 2552 คะแนนสอบมีพัฒนาการดีขึ้นตามลำดับ กล่าวคือ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีผลคะแนนเฉลี่ยร้อยละที่สูงขึ้นในแต่ละปีอย่างชัดเจน ส่วนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละสูงที่สุดและเกินร้อยละ 50 ในปีการศึกษา 2551 ส่วนกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ซึ่งมีผลคะแนนเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมากเนื่องจากมีผลคะแนนการสอบสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับของแต่ละปีการศึกษาและที่เห็นอย่างชัดเจน คือ ในปีการศึกษา 2550 และ ปีการศึกษา 2551 มีระดับคะแนนสูงกว่าระดับการศึกษาต่าง ๆ คือ สูงกว่า ระดับจังหวัด ระดับสังกัดและระดับประเทศ ส่วนปีการศึกษา 2552 ที่ผ่านมานี้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขและพลศึกษามีค่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละสูงที่สุดและเกินร้อยละ 50 ส่วนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์นั้นยังมีระดับผลคะแนนเฉลี่ยสูงบ้างและต่ำบ้างในแต่ละปีการศึกษา
สำหรับในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 นั้น มีการสอบ 5 กลุ่มสาระการเรียนหลักได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาฯและภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ระหว่างปีการศึกษา 2548 ถึง 2549 และมีการสอบครบทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ในปีการศึกษา 2550 เป็นต้นมา ผลคะแนนสอบปรากฏว่า แต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ มีร้อยละคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับที่น่าพอใช้ ซึ่งจะต้องพัฒนาต่อไป มีกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขและพลศึกษามีคะแนนเฉลี่ยร้อยละที่สูงที่สุดในแต่ละปีการศึกษาและเกินร้อยละ 50 ส่วนกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ มีคะแนนอยู่ในระดับที่พอใช้ คือ สูงบ้างต่ำบ้างในแต่ละปีการศึกษา
โดยภาพรวมผลคะแนนเฉลี่ยทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าคะแนนเฉลี่ยของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าระดับจังหวัด ระดับสังกัด และระดับประเทศมาเป็นระยะเวลา 2 ปี และสูงกว่าในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

5. ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการพัฒนาในปีต่อไป
5.1 ปัญหาและอุปสรรค ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน สามารถอภิปรายได้ 2 ช่วง คือ ในช่วงปีการศึกษา 2548 – 2549 และช่วงปีการศึกษา 2550 – 2552 กล่าว คือ ในระหว่างปีการศึกษา 2548 - 2549 พบปัญหาเกี่ยวกับการมาเรียนที่ไม่สม่ำเสมอของนักเรียนอันมีสาเหตุมาจากสภาพเศรษฐกิจทางครอบครัว ซึ่งร้อยละ 90 ของผู้ปกครองนักเรียนมีฐานะค่อนข้างยากจน มีปัญหาเรื่อง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาโรงเรียนและค่าอาหารกลางวัน ผู้ปกครองนักเรียนบางส่วน ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการศึกษาจึงมุ่งใช้แรงงานจากนักเรียนในการทำมาหากิน อาชีพของผู้ปกครองร้อยละ 90 เป็นเกษตรกร ในส่วนของโรงเรียนประสบกับปัญหาจำนวนครูที่มีไม่เพียงพอ และมีครูที่ไม่ตรงตามวิชาเอกซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการสอนในระดับมัธยมศึกษา สื่อและอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่เพียงพอ นักเรียนส่วนมากไม่มีหนังสือประกอบการเรียน สื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศยังมีน้อย ทำให้กระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นเฉพาะในห้องเรียน เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงงบประมาณที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสรรมาตามจำนวนค่าใช้จ่ายรายหัวนักเรียน ซึ่งขณะนั้นมีนักเรียน 216 คน ไม่เพียงพอ ทำให้ขาดแคลนปัจจัยต่าง ๆ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจัดได้เฉพาะในเวลาเรียนเท่านั้น เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่นั้นอยู่บ้านไกลทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของการเดินทาง ในความมืดก็มีแสงสว่างอยู่ เช่นกัน นักเรียนมีความรัก ความเอาใจใส่ต่อการเรียน มีความซื่อสัตย์ เสียสละ ซึ่งมีตัวบ่งชี้จากโล่รางวัลในระดับต่างๆ ที่นักเรียนและโรงเรียนได้รับ ประการที่สำคัญที่สุดอีกอย่างก็ คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนเอาใจใส่และทุมเทต่อการจัดการเรียนการสอนมาโดยตลอด ในช่วงปลายปีการศึกษา 2549 นั้น มีกระแสเรื่อง การถ่ายโอนสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นทำให้ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน นักเรียนทุกคน และบุคคลที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ ได้ปรึกษาหารือและลงมติให้มีการถ่ายโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาการจัดการศึกษาของโรงเรียนนาทรายวิทยาคม ในการถ่ายโอนครั้งนี้มีครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่ถ่ายโอนไปพร้อมกับโรงเรียนจึงขอย้ายไปโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านของตนเอง ทำให้โรงเรียนขาดอัตรากำลัง ต่อมากรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้จัดสรรตำแหน่งครูผู้ช่วยแทนตำแหน่งเดิมเพิ่มเป็น 18 อัตรา ปัญหาจากการถ่ายโอน แม้จะมีครูครบตามเกณฑ์และวิชาเอกแล้ว แต่ปัญหาใหม่ที่พบคือ ครูร้อยละ 95 เป็นครูที่บรรจุใหม่ ประสบการณ์มีน้อย ทั้งประสบการณ์ทางการสอน เทคนิคการสอน การปฏิบัติงานต่าง ๆ จึงทำให้ต้องมีการลองผิดลองถูกบ่อยครั้ง และในการถ่ายโอนนั้นครูและบุคลาการทางการศึกษาทุกคนร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน มีการเรียนรู้ร่วมกันในการจัดการศึกษา ทำให้เกิดปัญหาการจัดการศึกษาบางอย่างในเบื้องต้น เช่น ปัญหาด้านการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากโรงเรียนมีระยะทางห่างจากต้นสังกัด 130 กิโลเมตร ปัญหาด้านคววามรู้ ความสามารถด้านการเบิกจ่าย ปัญหาด้านการบริการวิชาการ เป็นต้น ซึ่งต้องเรียนรู้และช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
ปัจจุบันโรงเรียนได้ปรับตัวภายใต้สังกัดใหม่ โดยใช้ระยะเวลา 3 ปี ทำให้เกิดความเข้าใจและการปฏิบัติงานคล่องตัวมากขึ้น มีจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีการศึกษาอย่างเห็นได้ชัดเจน ครูและบุคลากรทางการศึกษาเพิ่มขึ้นและสอนตรงตามวิชาเอก ครูที่มีประสบการณ์น้อยได้ผ่านการสอนงานอย่างเป็นระบบ มีความมุมานะ มุ่งมั่น ทุ่มเท และเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนางานอย่างต่อเนื่อง มีงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัดมากขึ้นทำให้เพียงพอในการพัฒนาการจัดการศึกษา มีบริการสวัสดิการแก่นักเรียนต่าง ๆ เช่น โครงการเรียนฟรี 15 ปีและท้องถิ่นจัดสวัสดิการอาหารกลางวัน บริการรถรับส่งนักเรียน ชุดพละศึกษาและ หนังสือยืมเรียน มีสื่ออุปกรณ์ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนเพิ่มมากขึ้น เช่น ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ในส่วนของนักเรียนนั้นได้มีโอกาสในการเรียนรู้ทั้งสื่อที่มีอยู่ในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษาเพิ่มมากขึ้นรวมถึงนักเรียนได้มีโอกาสแสดงความรู้ความสามารถในด้านทักษะวิชาการ ดนตรี นาฎศิลป์ ศิลปะและการกีฬา เพิ่มมากขึ้นในระดับการแข่งขันของระดับต่างๆ ทั้งในหน่วยงานต้นสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ปกครองนักเรียนทุก ๆ คน ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลและการจัดการศึกษา ของโรงเรียนนาทรายวิทยาคม โดยสังเกตได้จาก การเข้าร่วมประชุมผู้ปกครองของนักเรียน การทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างโรงเรียนกับชุมชน การประชาสัมพันธ์ การร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาผู้เรียน เป็นต้น
5.2 แนวทางในการพัฒนาในปีต่อไป ในการพัฒนานักเรียนทั้ง 6 ด้าน คือ 1. ด้านความรู้ ความคิด ในสมอง 2. ด้านคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ สุนทรียะ ต่าง ๆ 3. ด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต 4. ด้านทักษะของกล้ามเนื้อ เช่น กีฬา 5. ด้านทักษะทางสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่น 6. ด้านทักษะทางภาษาและคณิตศาสตร์ ในปีต่อไปโรงเรียนได้ดำเนินกิจกรรมและโครงการเช่นเดียวกันกับปีการศึกษา 2552 และได้กำหนดแนวทางที่มีความชัดเจน และเข้มข้นมากยิ่งขึ้นทั้งการวิเคราะห์ผู้เรียนและแก้ไข เป็นรายบุคคล ในทุกตัวชี้วัด เพิ่มทักษะและศักยภาพของครูในด้านการวัดผลและประเมินผล ตามแนวทางของ สทศ.
6. บทสรุป
ในด้านการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ของโรงเรียนนาทรายวิทยาคม ถือว่าประสบผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับสโลแกน ของสถานศึกษาที่ว่า “โรงเรียนท้องถิ่น โดยคนท้องถิ่น เพื่อคนท้องถิ่น” และปรัชญาของโรงเรียน คือ “ผู้ใฝ่รู้ ย่อมเป็นผู้เลิศ” ซึ่งผลสำเร็จดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นจากการยึดหลักการที่สำคัญ 5 ประการ ประการที่ 1 การพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง การนำข้อมูล มาจัดกระทำ วิเคราะห์ เป็นสารสนเทศ นำมาพัฒนาและตัดสินใจ โดยมีการพัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างเป็นระบบ และต่อเนื่องประการที่ 2 การเอาใจใส่อย่างจริงจังของครูและบุคลากรทางการศึกษา ความมุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ และเอาใจใส่อย่างจริงจังต่องานที่ได้รับมอบหมายของครูใหม่ ไฟแรง ประการที่ 3 งบประมาณการสนับสนุนที่เพียงพอ ทั้งด้านอาคารสถานที่ และปัจจัยด้าน อี่น ๆ ทำให้โรงเรียนที่ห่างไกลชายขอบจังหวัดลำพูน กลับมามีนักเรียนเพิ่มขึ้นตามลำดับเหมือนเช่นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ในขณะที่โรงเรียนมัธยมอื่น ๆ มีจำนวนนักเรียนลดลง ประการที่ 4 หลักของการมีส่วนร่วม โดยการระดม ประสาน สัมพันธ์ ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ได้แก่ หน่วยงานต้นสังกัด คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ชมรมผู้ปกครองนักเรียน ชมรมผู้ขับรถรับส่งนักเรียน ชมรมศิษย์เก่า รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมพัฒนา ประเมิน และร่วมชื่นชมยินดี ประการที่ 5 สุดท้าย คือ การรายงานผลอย่างเป็นระบบและประชาสัมพันธ์ การประเมินผลระหว่างการดำเนินงาน สรุปผลเมื่อสิ้นสุดการทำงาน และรายงานผลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอน โดยการนำคะแนน O-NET มาใช้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งประการหนึ่ง เนื่องจากเป็นการลดความลำเอียงที่ผู้สอน ดำเนินการสอนเอง วัดเอง ประเมินเอง ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่จะใช้เครื่องมือที่มีความไม่เที่ยงตรงทั้งเชิงโครงสร้างและเนื้อหา และอาจไม่มีความเชื่อมั่น ดังนั้นจึงควรนำคะแนน O-NET มาประกอบการพิจารณา วางแผน และปรับปรุงแก้ไข อย่างต่อเนื่อง แม้ว่า ตัวแปรที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็ คือ ตัวนักเรียนที่เปลี่ยนไปทุกปี และในขณะเดียวกัน สทศ. ก็มีการพัฒนาเครื่องมือไปพร้อมกัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักของการพัฒนาและหลักของธรรมชาติ คือ การเปลี่ยนแปลงคือการพัฒนา การไม่อยู่นิ่งคือการมีชีวิตนั่นเอง

บรรณานุกรม

กรมวิชาการ. 2546. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2544 และพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพอักษรไทย (น.ส.พ. ฟ้าเมืองไทย).
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สำนักงาน. 2551. แนวทางการนำมาตรฐานการศึกษา
ขั้นพื้นฐานสู่การปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร
แห่งประเทศไทยจำกัด.
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สำนักงาน. 2549. มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 1.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
เลขาธิการสภาการศึกษา, สำนักงาน. 2548. มาตรฐานการศึกษาของชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 1.
กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดสหายบล็อก และการพิมพ์.
สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ. 2550. คู่มือสำหรับผู้บริหารในการนำผลการสอบ O-NET
ไปวางแผนปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาครู-นักเรียน. กรุงเทพฯ:
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน).
รัตนะ บัวสนธ์ นางจุฑามาส ศรีจำนง และว่าที่ร้อยตรี สิริศักดิ์ อาจวิชัย. ม.ป.ป. การวิเคราะห์
มาตรฐานการศึกษาของเทศไทย. พิษณุโลก: อัดสำเนา.
เว็ปไซต์
http://www.lamphun.go.th/intro.php?topicid=5
http://www.niets.or.th/

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดูงานประเทศจีน

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษา ดูงาน ด้านวัฒนธรรม ความเป็นอยู่
ระยะเวลา: 5 วัน (3 - 7 กรกฎาคม 2553)
เมือง: เซี่ยงไฮ้, ซูโจว, หังโจว.
คณะ: องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน, บริหาร สจ ข้าราชการ หัวหน้าฝ่าย ผู้ทรงคุณวุฒิ ขนส่งจังหวัด สรรพสามิตจังหวัด รวม 82 คน
บทสรุป: ความเจริญที่เห็นได้ชัดเจน คือ สิ่งก่อสร้าง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ อยู่ในเขตที่เหมาะสม ทั้งการอยู่อาศัย การเกษตร จุดที่ยังไม่เปลี่ยนไป คือ เอกลักษณ์ของคนจีน จะเสียงดัง การพูดจาเหมือนถกเถียงกัน อาหารการกิน
เทคนิคการขายของมีหลายรูปแบบ การแข่งขัน ชิงความได้เปรียบ เพื่อความอยู่รอดของตนเอง

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง :
1. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99
2. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B9%89
3. บริษัท สนุกสบาย แทรเวล จำกัด
4.

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

การถ่ายโอนโรงเรียนนาทรายวิทยาคม

การจัดการศึกษาขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน
(การถ่ายโอนโรงเรียนนาทรายวิทยาคม)
ดร.ยงยุทธ ยะบุญธง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ถือเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญ กับการปกครองท้องถิ่นมากที่สุด ตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมา 16 ฉบับ และด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่น ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชุมชนท้องถิ่นและองค์กรปกครองท้องถิ่นไทยครั้งใหญ่ (โกวิทย์ พวงงาม, ม.ป.ป., หน้า 1) นอกจากนี้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หมวด 14 ว่าด้วยการปกครองท้องถิ่น ยังได้บัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรหลักในการจัดบริการสาธารณะและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในพื้นที่ และการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนนี้เอง จึงเป็นหลักประกัน ว่ารัฐจะต้องส่งเสริม สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลัก ในการจัดบริการ สาธารณะ โดยใช้การกระจายอำนาจเป็นกลไกสำคัญ และเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมจึงได้มีการบัญญัติมาตรา 283 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะ และมีอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การจัดบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การเงิน และ การคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ (วุฒิสาร ตันไชย, 2551, หน้า 1)
การกระจายอำนาจการปกครอง เป็นวิธีการหนึ่งในการจัดการปกครองประเทศโดยรัฐมอบอำนาจการปกครองบางส่วนให้กับองค์กรปกครองอื่น นอกจากองค์กรของส่วนกลาง เพื่อจัดบริการสาธารณะบางชนิดอย่างอิสระ (Autonomy) สามารถดำเนินการได้เองและไม่อยู่ในการบังคับบัญชาของส่วนกลาง แต่จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแล (Tuttle) ของส่วนกลาง (นันทวัฒน์ บรมานันท์, 2545, หน้า 19) การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการบ้านเมืองของรัฐในระบอบประชาธิปไตย โดยมุ่งลดบทบาทของรัฐในส่วนกลางให้เหลือแต่ภารกิจหลักที่ต้องทำเท่าที่จำเป็น และเพิ่มบทบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไปดำเนินการแทนในกลุ่มงานที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนส่วนใหญ่ รวมถึงการดูแลความสงบเรียบร้อย การพัฒนาท้องถิ่นและการจัดบริการสาธารณะ ให้แก่ประชาชนพร้อมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดบริการสาธารณะ การพัฒนาและจัดการแก้ไขปัญหาของท้องถิ่น ตามเจตนารมณ์ของประชาชนมากขึ้น
รัฐบาลไทยได้ดำเนินการอภิวัฒน์ให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ คือ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้วยการตราพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอน การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 โดยในปี พ.ศ. 2543 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ต่อมาคณะกรรมการกระจายอำนาจ ฯ ได้จัดทำประกาศ แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นแผนที่กำหนดกรอบแนวคิด เป้าหมาย และแนวทางการกระจายอำนาจให้เป็นไปตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 เพื่อให้การกระจายอำนาจบรรลุเจตนารมณ์ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ไม่เป็นแผนที่เบ็ดเสร็จแต่มีกระบวนการที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับวิธีการให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ และการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ต่อมาคณะกรรมการกระจายอำนาจ ฯ ได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอน การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2545 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการกระจายอำนาจให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ตั้งแต่มีการจัดตั้งคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2543 จนปัจจุบัน ภารกิจกระจายอำนาจของไทยไม่ก้าวหน้ามากนัก เนื่องจากบรรดาเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนคัดค้านการถ่ายโอนภารกิจต่าง ๆ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น การถ่ายโอนการศึกษา การสาธารณสุข เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นปัญหาที่เกิดจากความไม่พร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งผลให้การถ่ายโอนภารกิจเป็นไปอย่างล่าช้า ต่อมาคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 9/2548 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 กำหนดเกณฑ์การถ่ายโอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยกำหนดสัดส่วนการขอรับ ถ่ายโอนสถานศึกษา แยกตามระดับการศึกษาและตามประเภทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีมติให้โอนสถานศึกษา ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่มติดังกล่าวสวนทางกับความคิดเห็นของสมาคมครูและผู้บริหารสถานศึกษาส่วนใหญ่จึงได้รวมตัวประท้วงครั้งใหญ่ขึ้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของผู้ประท้วงดังกล่าว จึงเพิ่มเติมเงื่อนไขการถ่ายโอน ว่าการถ่ายโอนต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของสถานศึกษา ที่จะต้องมีการตัดสินใจร่วมกัน ระหว่างผู้บริหาร คณะครูและคณะกรรมการสถานศึกษา เพื่อหาทางออกที่จะลดผลกระทบ โดยให้เป็นไปในลักษณะของความสมัครใจของ 2 ฝ่าย คือ ความสมัครใจของผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษาฝ่ายหนึ่ง กับคณะกรรมการสถานศึกษาขึ้นพื้นฐานอีกฝ่ายหนึ่ง หากทั้ง 2 ฝ่ายสมัครใจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เต็มใจที่จะรับ และมีความพร้อมที่จะรับ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อทำหน้าที่ในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่ามีความพร้อมที่จะรับถ่ายโอน และโรงเรียนพร้อมที่จะถ่ายโอนไป จึงจะสามารถถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง วิธีการและเงื่อนไขการแสดงถึงความสมัครใจให้โอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549, 13 มกราคม 2549) ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดไว้ว่าการถ่ายโอนจะต้องมีการระบุชื่อโรงเรียนที่ชัดเจน และต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ โดยในปีการศึกษา 2549 จะต้องยื่นเรื่องขอรับการประเมินความพร้อมภายใน 120 วันก่อนวันเปิดภาคเรียน คือ ภายในวันที่ 15 มกราคม 2549 (กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549, 11 มกราคม 2549) ในส่วนของ การแสดงความสมัครใจให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง วิธีการและเงื่อนไขการแสดงถึงความสมัครใจให้โอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549 (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง วิธีการและเงื่อนไขการแสดงถึงความสมัครใจให้โอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549, 13 มกราคม 2549) และหลังจากนั้น วันที่ 17 มกราคม 2549 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 4) โดยในหมวด 3 (1) กำหนดให้รับข้าราชการซึ่งโอนไปเป็นข้าราชการท้องถิ่นเป็นสมาชิก และมาตรา 70 (1) คงสิทธิการเป็นสมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้เช่นเดิม (พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2549, 17 มกราคม 2549, หน้า 8)
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2549 สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มีหนังสือถึง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตพื้นที่เน้นย้ำถึงเรื่อง การหาความสมัครใจของโรงเรียน กระบวนการหาความสมัครใจ และการประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้ดำเนินการในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ถึงเดือน เมษายน พ.ศ. 2549 ต่อมาระหว่างเดือน พฤษภาคม ถึงเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2549 ได้เกิดมีกรณีปัญหาโรงเรียนที่สมัครใจถ่ายโอนมีจำนวนมากเกินสัดส่วนที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือที่เรียกว่า โรงเรียนบัญชี 2 และเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2549 สำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สกถ.) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงศึกษาธิการให้เร่งดำเนินการถ่ายโอนโรงเรียนที่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี หรือที่เรียกว่าโรงเรียนบัญชี 1 ไปก่อน ภายในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 จึงได้มีการถ่ายโอนโรงเรียนบัญชี 1 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นครั้งแรกจำนวน 31 โรง และในเดือนเดียวกันนี้ มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้การดำเนินการถ่ายโอนสถานศึกษาจึงหยุดลงชั่วคราว เนื่องจากเกิดการปฏิรูปการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และมีการตั้งรัฐบาลใหม่ พณฯ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการคนใหม่ คือ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน ซึ่งมีนโยบายถ่ายโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงได้ดำเนินการถ่ายโอนโรงเรียนบัญชี 1 ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มเติม อีกจำนวน 25 โรง กล่าวคือ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 (สพฐ, ศธ 04006/2104, ลว 20 พฤศจิกายน 2549) และเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2549 อีกจำนวน 15 โรง (สพฐ, ศธ 04006/13, ลว 5 มกราคม 2550) รวมโรงเรียนบัญชี 1 ที่ถ่ายโอนไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งสิ้น 70 โรง หลังจากนั้นก็มีการถ่ายโอนเพิ่มอีกเป็นระยะ ๆ
ในส่วนของโรงเรียนนาทรายวิทยาคม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งเดียวในจังหวัดลำพูน ที่สมัครใจถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเหตุผลและปัญหาหลายประการ เช่น จำนวนนักเรียนลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง ในระยะเวลา 5 ปี (2544-2548) (สารสนเทศ, 2548, หน้า 10) จำนวนครูและบุคลากรลดลงไปตามเกณฑ์ของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และครูสอนไม่ตรงตามวิชาเอก ทำให้ผลการประเมินคุณภาพภายนอก โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) รอบแรก ในปีการศึกษา 2547 มาตรฐานด้านครู มาตรฐานที่ 24 และผู้เรียนในมาตรฐานที่ 5 มีระดับคุณภาพ “ปรับปรุง” (สมศ., 2547) นอกจากนั้นงบประมาณ ที่โรงเรียนได้รับจากรัฐบาลเป็นเงินอุดหนุนรายหัวตามจำนวนนักเรียนไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายประจำและการพัฒนาการศึกษา ประกอบกับร้อยละ 80 ของผู้ปกครองเป็นเกษตรกร และมีฐานะค่อนข้างยากจน อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลชายขอบของตัวจังหวัด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการระดมทรัพยากร เพื่อนำเงินมาจ้างครูให้เพียงพอและการพัฒนาสถานศึกษาให้ดีขึ้น โรงเรียนได้รับการอนุมัติให้ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2550 (สพฐ, ศธ 04006/13, ลว 5 มกราคม 2550) มีการถ่ายโอนภารกิจ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2550 และถ่ายโอนบุคคลในวันที่ 16 เมษายน 2550 พร้อมกันกับการถ่ายโอนทรัพย์สิน การถ่ายโอนทั้ง 3 ด้านได้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อเดือน กันยายน พ.ศ. 2550
เมื่อมีการถ่ายโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ปัญหาที่ทุกฝ่ายเป็นห่วงมากที่สุด คือ เรื่องคุณภาพและมาตรฐานทั้งในส่วนของหลักสูตร และการจัดการเรียน การสอน ดังที่ สโรช สันตะพันธุ์ (2549) ได้กล่าวว่า เมื่อโรงเรียนได้ผ่านกระบวนการถ่ายโอนมาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วระยะหนึ่ง ควรจัดให้มีการประเมินผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เป็นผู้ประเมิน คุณภาพและมาตรฐานของสถานศึกษารวมทั้งผลผลิตที่จะเกิดขึ้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประสิทธิผลของการศึกษาซึ่งเกิดจากปฏิสัมพันธ์ของรูปแบบการบริหาร คุณลักษณะขององค์การ และบรรยากาศการทำงานแบบมืออาชีพ (ชาญชัย อาจินสมาจาร, 2548, หน้า 26) ประสิทธิผลทางการศึกษาสูงสุด ต้องการรูปแบบการบริหารและบรรยากาศในองค์การที่เหมาะสม การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในยุคปฏิรูปการศึกษา ผู้บริหารจำเป็นต้องพัฒนาองค์กรจากรูปแบบของการบริหารที่มีประสิทธิผล แม้ว่าในหลักการบริหารสถานศึกษาจะมีทฤษฎีการบริหารอย่างหลากหลายที่บ่งบอกลักษณะของวิวัฒนาการทางการบริหารของแต่ละยุคแต่ละสมัยที่สถานศึกษาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารสถานศึกษาให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงตามหลักการ แนวคิด การบริหารจัดการ สถานศึกษาแนวใหม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการบริหารจัดการ เพื่อมุ่งสู่ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในที่สุด
โครงสร้างองค์การเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่มีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินงานของ องค์การหรือของหน่วยงาน เปรียบเสมือนโครงกระดูกในของร่างกาย มีส่วนโดยตรงที่ทำ ให้การดำเนินงานในส่วนต่าง ๆ ขององค์การเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันทั้งระบบ ทำให้ทุกส่วนสามารถร่วมกันดำเนินงานไปด้วยกันได้ดี และเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อุทัย บุญประเสริฐ, 2544) จึงถือได้ว่าโครงสร้างองค์การเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่สำคัญเป็นอย่างมากส่วนหนึ่ง เมื่อมีถ่ายโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการเปลี่ยนต้นสังกัด กฎหมาย ระเบียบและวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่ร้อยละ 97 ยังไม่เคยจัดการศึกษาและยังไม่มีการจัดโครงสร้างองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านการบริหารและการจัดการศึกษา (กมล สุดประเสริฐ, 2544, หน้า 9) สถานศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบและโครงสร้างการบริหารให้สอดคล้องสัมพันธ์กัน และเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงต้องจัดทำคู่มือคุณภาพ เพื่อกำหนดนโยบาย แนวทาง บทบาทหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้อง ตลอดทั้งคู่มือการปฏิบัติงานไว้ สำหรับผู้บริหารการศึกษาและสถานศึกษานำไปใช้เป็นคู่มือในการนิเทศ กำกับ ติดตาม และผู้ปฏิบัติงานซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 95 ได้รับการบรรจุแต่งตั้งใหม่เพื่อทดแทนครูที่ย้ายออกไป สามารถนำคู่มือทั้งสองไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
จากประเด็นปัญหาและความสำคัญของการบริหารสถานศึกษาที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น ดังกล่าวข้างต้น สถานศึกษาในฐานะที่เป็นหน่วยปฏิบัติที่สำคัญที่สุด จะต้องมีการบริหารและจัดการให้เกิดการขับเคลื่อนไป ภายใต้ภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และต้องมีการบริหารสถานศึกษารูปแบบใหม่ที่ความเป็นนิติบุคคลสิ้นสุดลงตามกฎหมาย และให้สอดคล้องกับหน่วยงานต้นสังกัดใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์จัดการศึกษา ซึ่งเกิดเป็นปัญหาขึ้นร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย คือ สถานศึกษา ต้นสังกัด และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนซึ่งไม่แน่ใจว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจัดการศึกษาได้เป็นอย่างดีหรือไม่ อย่างไร จึงมีความจำเป็นต้องร่วมกันพัฒนารูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมของโรงเรียนที่ถ่ายโอนฯ โดยใช้วิธีวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR: Participatory Action Research) เพื่อให้ได้รูปแบบการบริหารที่เหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของโรงเรียน ขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจแก่บุคลากร ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของโรงเรียน ทั้งนี้เพื่อผลิตนักเรียนให้มีคุณภาพ แก้ข้อห่วงใยข้างต้น นอกจากนั้นยังเป็นการลดปัญหาและความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นจากการถ่ายโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

บรรณานุกรม
กมล สุดประเสริฐ. (2544). รูปแบบการบริหารและการจัดการศึกษาแบบกระจายอำนาจ. สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟิก.
โกวิทย์ พวงงาม. (ม.ป.ป.). ความคืบหน้าของการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและทิศทางที่ควรจะเป็นไปในอนาคต. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2548,
จาก http://www.local.moi.go.th/webst/article2.pdf
ชาญชัย อาจินสมาจาร. (2548). สู่ทิศทางใหม่ของการบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ: ก้าวใหม่.
นันทวัฒน์ บรมานันท์. (2545). การปกครองส่วนท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: วิญญูชน.
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไข ตัวชี้วัด และระดับคุณภาพใน
การประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547. (29 กันยายน 2547). ราชกิจจานุเบกษา. 121(พิเศษ 110ง). หน้า 8-10.
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง วิธีการและเงื่อนไขการแสดงถึงความสมัครใจให้โอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549. (13 มกราคม 2549). ราชกิจจานุเบกษา. 123(พิเศษ 7ง). หน้า 8-11.
พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. 2542. (17 พฤศจิกายน 2542). ราชกิจจานุเบกษา. 116(114). หน้า 48-66
พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2546. (4 พฤศจิกายน 2546). ราชกิจจานุเบกษา. 120(109 ก). หน้า 5-20.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540. (11 ตุลาคม 2540). ราชกิจจานุเบกษา. 114(55 ก). หน้า 1-99.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. (24 สิงหาคม 2550). ราชกิจจานุเบกษา. 124(57 ก). หน้า 1-127.
วุฒิสาร ตันไชย. (2551). ทิศทางการปกครองท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2551, จาก http://www.vcharkarn.com/varticle/
35389/1
โรงเรียนนาทรายวิทยาคม. (2550). สารสนเทศ ปีการศึกษา 2550. ลำพูน: ม.ป.พ.
สโรช สันตะพันธุ์. (8 มกราคม 2549). ปัญหาการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: การถ่ายโอนสถานศึกษา. สืบค้นเมื่อ 4 ธันวาคม 2549,
จาก http://www.pub-law.net/publaw/View.asp?publawIDs=857
สำนักนายกรัฐมนตรี (2549). คู่มือการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา.
สำนักบริหารงานทะเบียน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน. (2550). ข้อมูลสถิติอำเภอลี้. ม.ป.ท.: ม.ป.พ.
สำนักงานรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน). (2547). รายงานการประเมินคุณภาพภายนอก สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนนาทรายวิทยาคม. กรุงเทพฯ: สมศ.
สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์. (2548). ปัจจัยเชิงพหุระดับที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐในกรุงเทพ. วิทยานิพนธ์ ศษ.ด., มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล, กรุงเทพฯ.
องค์การบริหารส่วนตำบลนาทราย. (ม.ป.ป.). แผนพัฒนาสามปี (พ.ศ. 2549-2551).
ลำพูน: ม.ป.พ.
องค์การบริหารส่วนตำบลนาทราย. (2550). แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล ปี พ.ศ. 2550-2552. ม.ป.ท.: ม.ป.พ.
อุทัย บุญประเสริฐ. (2544). รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาแนวทางการบริหารและการจัดการของสถานศึกษา ในรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุสภาลาดพร้าว.

สภาพปัญหา พร้อมหาแนวทางการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีคุณภาพ

วิจัยสภาพปัญหา พร้อมหาแนวทางการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีคุณภาพ
โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา วิจัยสภาพปัญหา พร้อมหาแนวทางการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีคุณภาพ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้ศึกษาวิจัยสภาพปัญหาและการบริหารจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หนึ่งในภาคีหลักที่ร่วมรับผิดชอบจัดการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนไทย โดยนายอำรุง จันทวานิช เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า ในส่วนของเทศบาลที่มีโรงเรียนในสังกัด มีการจัดทำแผนงาน โครงการ และจัดทำปฏิทินการปฏิบัติงานด้านวิชาการ พร้อมกำหนดวัตถุประสงค์ แนวนโยบาย และมีการประเมินแผนงานเป็นระยะ รวมถึงให้การสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา โดยจัดอบรมครูและผู้บริหาร สนับสนุนงบประมาณ ซึ่งมีสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษามากกว่าร้อยละ 10 ของรายได้
เมื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการบริหารจัดการศึกษาของเทศบาลที่มีโรงเรียนในสังกัด เลขาธิการสภาการศึกษา สรุปว่า พลังของสภาเทศบาลและประชาชน ในการตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง จะเป็นแรงจูงใจ และแรงขับให้งานเกิดผลสำเร็จและสามารถเข้าถึงใจประชาชน โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองได้ง่าย ในขณะที่การบริหารจัดการศึกษา จะต้องมีผู้บริหารที่ดี มีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรม และบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม นอกจากนี้ ผู้บริหารเทศบาลจะต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอันดับแรก ส่วนงบประมาณที่จัดสรรแบบเงินอุดหนุนเป็นก้อน ทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ และมีความยืดหยุ่น ในขณะที่การบริหารงานบุคคล เทศบาลมีลักษณะ และระบบการบริหารจัดการที่สามารถจัดสรร ปรับเปลี่ยนหมุนเวียนบุคลากรในสังกัดได้ จึงส่งผลให้การบริหารจัดการของเทศบาลมีความคล่องตัว
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอุปสรรคในการบริหารจัดการศึกษาของเทศบาลด้วย ซึ่งนายอำรุง จันทวานิช เปิดเผยผลการศึกษาว่า จำนวนบุคลากรในสำนัก หรือกองการศึกษาไม่เพียงพอต่อภาระงานและโครงสร้างการบริหาร เนื่องจากโครงสร้างการบริหารมีการขยายขอบเขตภาระงานเพิ่มขึ้นแต่ไม่สามารถจัดสรรบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งได้ เพราะระเบียบการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นกำหนดว่าการใช้จ่ายเงินเดือน ประโยชน์ตอบแทนอื่น และเงินค่าจ้างของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และลูกจ้างที่มาจากเงินรายได้ จะกำหนดสูงกว่าร้อยละ 40 ของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่ได้ ซึ่งเทศบาลส่วนใหญ่โดยเฉพาะเทศบาลที่มีรายได้ รายรับน้อย จะมีรายจ่ายในส่วนนี้ใกล้ร้อยละ 40 อยู่แล้ว และอุปสรรคสำคัญก็คือความไม่ชัดเจนในเรื่องความก้าวหน้าทางวิชาชีพของบุคลากร การเลื่อนวิทยฐานะของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่ครอบคลุมบุคลากรในสำนัก หรือกองการศึกษาของเทศบาล ในขณะที่การนิเทศ กำกับติดตามและประเมินผลการศึกษาดำเนินการได้ไม่เต็มที่ สืบเนื่องจากสำนัก กองการศึกษาขาดแคลนบุคลากร ทำให้การดำเนินการนิเทศ กำกับติดตาม และประเมินผลการศึกษาไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ อีกปัญหาเรื้อรังที่สำคัญก็คือขาดความคล่องตัวในการบริหารงบประมาณระดับสถานศึกษา แม้ว่าเทศบาลจะได้รับการจัดสรรงบประมาณ แบบให้เงินอุดหนุนเป็นก้อน แต่ระเบียบปฏิบัติ ซึ่งโรงเรียนสังกัดเทศบาลมีอำนาจการสั่งจ่ายงบประมาณได้ไม่เกิน 3,000 บาท ส่งผลให้การดำเนินการบางแผนงาน หรือโครงการมีการชะลอตัว ผลสำเร็จตามเป้าหมายไม่เป็นไปตามช่วงเวลาที่มีความต้องการ นอกจากนี้ เด็กที่เข้าสู่ระบบโรงเรียนสังกัดเทศบาล มีพื้นฐานและภูมิหลังที่หลากหลายสูง ทั้งฐานะทางเศรษฐกิจ และคุณภาพผู้เรียนก่อนเข้าศึกษา ดังนั้น กระบวนการพัฒนานักเรียน ครูและบุคลากรจึงต้องทำงานอย่างหนัก ผลสำเร็จของการพัฒนาเห็นผลได้ค่อนข้างช้า
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ยังได้ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการบริหารจัดการศึกษาระดับเทศบาลด้วยว่า จะต้องส่งเสริมให้นายกเทศมนตรีและผู้บริหารเทศบาล มีความรู้ความสามารถ เข้าใจการบริหารจัดการศึกษา มีวิสัยทัศน์ มีนโยบายและทิศทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ควรบูรณาการงานทุกด้านของเทศบาล และมีระบบการทำงานเป็นเครือข่ายทั้งภายในและภายนอก พัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาให้เป็น “องค์กรแห่งวัฒนธรรมคุณภาพ” พิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาเป็นพิเศษโดยเฉพาะเทศบาลที่มีรายได้น้อย ควรจัดสรรบุคลากรให้สอดคล้องและสามารถปฏิบัติภารกิจได้ครบถ้วน
ที่มา : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
ผู้เสนอ : กลุ่มวิเคราะห์ข่าวและฐานข้อมูล สำนักโฆษก

ค้นคืนจาก http://media.thaigov.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=471&directory=1794&contents=18181 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2551

ในส่วนของ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ได้รับโอนภารกิจด้านการศึกษามาจัดนั้น ขณะนี้ (2553) เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว ผลงานจะปรากฎไปในทิศทางไหน? นั้น เป็นที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

วันที่ 27 มกราคม 2553 นี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน จะได้จัดให้มีการเผยแพร่ผลงานในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งการจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัด 3 โรงเรียน ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมได้ ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ถนนเลี่ยงเมือง จังหวัดลำพูน

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553

“ ครูมืออาชีพตามมาตรา 24 ”

“ ครูมืออาชีพตามมาตรา 24 ”
นายยงยุทธ ยะบุญธง***
ถ้าจะมีผู้ตั้งคำถามว่า หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาคือ อะไร คำตอบที่ถูกต้อง ก็น่าจะเป็นการปฏิรูปการเรียนรู้ หรือการปฏิรูปการเรียนการสอนนั่นเอง เพราะถ้าเราได้อ่านพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 อย่างละเอียด อย่างพินิจ พิเคราะห์ก็จะพบว่า สาระทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในทุกมาตรา นำไปสู่การปฏิรูปการเรียนรู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ คือ การมุ่งไปสู่การพัฒนาผู้เรียนเป็นสำคัญ
การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้จะสำเร็จได้ต้องมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การปรับกระบวนการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มศักยภาพและสอดคล้องตามจุดประสงค์ของการศึกษาแต่ละระดับ และปรับบทบาทของครูจากผู้ถ่ายทอดความรู้มาเป็นผู้อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ ชี้แนะ สนับสนุนเอาใจใส่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นกระบวนการ ครูควรใช้เทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสมกับวัย ส่งเสริมผู้เรียนให้สร้างองค์ความรู้จากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่สัมผัส ปฏิบัติด้วยตนเอง ใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ใช้แหล่งความรู้นอกเหนือจากห้องเรียน โรงเรียน และหนังสือ
ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการจัดกระบวนการเรียนรู้มีอยู่ 4 ประการ คือ 1. หลักการเรียนรู้ 2. บทบาทของครู
3. บทบาทของผู้เรียน 4. การจัดสภาพการเรียนรู้ ดังนี้
1. มีความเชื่อว่าผู้เรียนทุกคนมีศักยภาพในการสร้างองค์ความรู้โดยอาศัยสภาพความเป็นจริง
2. จัดประสบการณ์เรียนรู้ที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัย และความสามารถของผู้เรียน
3. บูรณาการเนื้อหา กิจกรรมและทักษะการเรียนรู้โดยเชื่อมโยงพื้นฐานของผู้เรียน
4. ให้โอกาสผู้เรียนได้สัมผัสปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง
5. ให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูโดยทำงาน แลกเปลี่ยนความคิดและปรับตัวทางสังคมร่วมกัน
6. ให้ผู้เรียนมีโอกาสคิด เลือก ตัดสินใจในการทำกิจกรรม โดยมีผู้ใหญ่คอยให้กำลังใจ
7. สร้างบรรยากาศที่ให้ผู้เรียนมีคิดอิสระและสนับสนุนความคิดริเริ่ม
8. สร้างเสริมความรู้สึกภูมิใจในการทำกิจกรรมและความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
9. ติดตามสังเกตผู้เรียน สะท้อนข้อมูลจากการสังเกตและประเมินผล
10. ปรับเปลี่ยนบทบาทครูในฐานะผู้สอนเป็นผู้สังเกต ผู้เรียนรู้และผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
11. ส่งเสริมและให้ความสำคัญกับบทบาทพ่อแม่และสถาบันครอบครัวในการอบรมเลี้ยงดู และให้การศึกษาผู้เรียน
มาตรา 24 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กล่าวถึง การจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับ ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
ในแต่ละชั้นแต่ละห้องผู้เรียนมีอายุไล่เลี่ยกัน ส่วนใหญ่มาจากท้องถิ่นเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน มองดูเหมือนเหมือน ๆ กัน แต่ในความเป็นเด็กเหมือนกันนั้น พวกเขาก็มีความแตกต่างกันอยู่ด้วยทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกลักษณะนิสัย ความเฉลียวฉลาดในการเรียนรู้ช้าเร็วต่างกัน แต่ในความแตกต่างนี้ก็เป็นมุมของความงดงามในสังคมมนุษย์ที่จะเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทดแทนกันและกัน เรียนรู้จากกันและกัน ความแตกต่างจึงมีคุณค่าในการพัฒนา
เพื่อจะได้นำข้อมูลซึ่งอาจจะเป็นการค้นหาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น ระเบียนสะสม รบ.3 บัตรสุขภาพ จากบุคคล ได้จากการรวบรวมข้อมูลโดยหลากหลายวิธี และนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ สรุปผล นำไปช่วยเหลือแก้ไข ส่งเสริมและสนับสนุนให้เขาพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ มีความสุข ครูต้องศึกษาเพื่อให้รู้จักผู้เรียนทุกคนเพราะในห้องเรียนมีผู้เรียนมากมาย ต่างชอบหลากหลายวิธีเรียน ครูจึงต้องมีหลากหลายวิธีสอน จัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน
การจัดกิจกรรมที่เน้นกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รู้จักตนเอง รู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น รู้จักพึ่งพาอาศัยกัน รู้วิธีศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง และศึกษาหาความรู้ร่วมกับผู้อื่น รู้จักประเมินตนเองและยอมรับผลการประเมินจากผู้อื่น การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน การสอนแบบบูรณาการ การสอนแบบให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข
การให้ผู้เรียนทำโครงงาน เรียนแบบมีส่วนร่วม พยายามชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของวิชานั้น ๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนไปหาความรู้เพิ่มเติม กระบวนการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ การเรียนแบบนี้ใช้เวลา ฉะนั้นการเรียนในชั่วโมงอย่างเดียวไม่พอ แนะวิธีการศึกษาด้วยตนเองตามความเหมาะสม ครูต้องเหนื่อยกว่าปกติ แต่คุ้มค่าที่ได้ทำให้ผู้เรียนฉลาดขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักสื่อความหมาย ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่เขาสนใจ ความถนัด ถ้าผู้เรียนชอบการ์ตูนก็ให้ผู้เรียนสื่อออกมาในรูปของการ์ตูนได้
(2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
การสอนให้นักเรียนมีกระบวนการให้นักเรียนรู้วิธีเรียน (Learn how to learn) ไม่ใช่จำเนื้อหาวิชา นักเรียนก็จะมีความรู้ติดตัวไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ นอกจากทักษะกระบวนการแล้ว ทักษะการจัดการซึ่งผู้เรียนควรมีลักษณะ 3 ประการ คือ 1. รู้จักนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2. รับรู้กระบวนการและนำไปใช้ได้ 3. เห็นช่องทางในการนำสิ่งที่เรียนไปประกอบอาชีพ - รายได้
ดังนั้นครูผู้สอนจึงมีภาระหน้าที่ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้ฝึก ทักษะต่าง ๆ ดังนี้ กระตุ้นให้ผู้เรียนฝึกการคิดโดยใช้คำถาม หรือปัญหานำ อาจใช้ของเล่น หรือกรณีเหตุการณ์ ข่าวประจำวัน ตามหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ดึงมาเป็นหัวข้อให้ผู้เรียนวิจารณ์ แสดงความคิดเห็น หรือไปดูสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นตามข่าว ค้นหาคำตอบ แล้วร่วมกันสรุป ทำให้ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียน ไม่ใช่ ต้องเรียน
ฝึกนักเรียนให้คิด และวิเคราะห์ด้วยตนเอง และทำงานแบบกลุ่ม พร้อมกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ในแต่ละด้าน ไม่ควรแยกผู้เรียนออกจากัน คำถามแต่ละคำถามครูต้องรู้ว่าผู้เรียนอยู่ในระดับไหน และปล่อยให้ผู้เรียนได้หาคำตอบด้วยตนเอง
โรงเรียนจัดให้มีกิจกรรมค่ายต่าง ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดอย่างสร้างสรรค์โดยถ่ายทอดความคิดอย่างสร้างสรรค์ โดยถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม บางครั้งผู้เรียนก็จะเป็นครูของเราโดยไม่รู้ตัว ในแง่ของความคิด ซึ่งผู้เรียนจะมีการเสนอวิธีคิดออกมาแบบง่าย ๆ น่าสนใจ
การวิเคราะห์ คือ การแยกส่วน การฝึกวิเคราะห์ควรเริ่มด้วยการให้ผู้เรียน “มองต่างมุม” และ “มองหลายมุม” แนวทางหนึ่งของการฝึกวิเคราะห์ คือ การใช้คำถาม ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เท่าไร ทำไม
(3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
บรูเนอร์ (Jerome Bruner) นักการศึกษาที่สำคัญท่านหนึ่ง เสนอว่า การสอนนั้นจะต้องเป็นการให้ผู้เรียนได้เริ่มจากประสบการณ์ตรงไปสู่ประสบการณ์ผ่านภาพ (Iconic) ซึ่งเป็นตัวแทนของประสบการณ์จริง แล้วเรื่อยไปสู่ลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์ (Symbol) และ อัลคอร์น (Alcorn) และคณะได้สรุปจากประสบการณ์ว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มักจะจดจำสิ่งที่เรียนจากน้อยไปหามากดังนี้ จากสิ่งที่ 1.อ่าน 2. ฟัง 3. เห็น 4. ฟังและเห็น 5. พูด-อภิปราย 6. การกระทำ และจากกรวยประสบการณ์ของเอการ์ เดล สิ่งที่ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วและมีคุณค่า จำอย่างถาวรมากที่สุด คือ การเรียนรู้จากของจริง ประสบการณ์การตรง
ภาระหน้าที่ของครูผู้สอนจึงต้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ให้ได้ปฏิบัติจริงให้มากที่สุด เพื่อค้นหาคำตอบและสรุปด้วยตนเอง ฝึกให้ผู้เรียนเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี และเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของชีวิตจริง
การสอนโดยให้ผู้เรียนออกไปฝึกงาน ฝึกประสบการณ์หรือวิธีปฏิบัติมากกว่าที่จะนั่งเรียนในห้องอย่างเดียว
ให้ผู้เรียนทำโครงงานนำเสนอแนวคิด และขั้นตอนการดำเนินงานพร้อมทั้งให้ได้ปฏิบัติจริง เพื่อสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
การสอนแบบทดลอง มุ่งให้ผู้เรียนเรียนโดยลงมือกระทำ หรือโดยการสังเกต ค้นหา ข้อสรุปหรือความจริงด้วยตนเอง
จัดกิจกรรมมุ่งเน้นให้ผู้เรียนใฝ่รู้ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น รู้จักแยกแยะ เชื่อมโยง เป็นระบบ กล้าแสดงออกใช้หลักเหตุและผลในการรับฟังความคิดเห็นและประเมินผลร่วมกัน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุง เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยครูจะต้องคอยส่งเสริม จัดสภาพแวดล้อมและอำนวยการให้เกิดสิ่งเหล่านี้บนความเชื่อพื้นฐานว่า ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในทางที่ถูกอีกทั้งครูต้องยอมรับการกระทำนั้น ๆ ยกย่องและให้กำลังใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใฝ่รู้ มีนิสัยชอบปฏิบัติและสร้างสรรค์ผลงานอย่างมีความสุข
ให้มีการสร้างทัศนคติค่านิยมใหม่ ๆ ให้แก่ผู้เรียน ดังนี้ 1. พัฒนาให้มีท่าทีหิวกระหายการเรียนรู้ 2. พัฒนาให้มีท่าทีกระตือรือร้นในการเรียนรู้ 3. พัฒนาให้มีท่าทีอุทิศตัวเอาจริงเอาจังในการเรียนรู้ 4. พัฒนาท่าทีที่เชื่อฟังและยอมรับการสอนเสมอ 5. พัฒนาท่าทีให้มีท่าทีถ่อมใจ ยินดีเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
(4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
โลกในทศวรรษหน้าจะต้องการคนที่มีความสามารถในการผสมผสานศาสตร์หลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อนำไปใช้ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด เช่น นักการเมือง ผู้ที่เป็นได้ทั้งผู้นำที่สามารถ นักการเงินตัวยง และนักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ที่สามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง โดยไม่เป็นภาระกับสิ่งแวดล้อม แต่จากสภาพปัจจุบันโลกของเรากลับมีทิศทางไปในทางตรงกันข้าม ทุกอย่างถูกแยกจากกันเป็นชิ้น ๆ ในโรงเรียนผู้เรียนทุกคนชินชากับการไปโรงเรียนเพื่อนั่งสังเกตว่า ต้องทำเลขอย่างไร ในตอนเช้า พอตกบ่ายก็ต้องมานั่งจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมวิทยา ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลย พอเรียนจบไปแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ใหม่อีกครั้งจากโลกภายนอก ดังนั้น การเรียนในโรงเรียนก็เป็นสิ่งที่สูญเปล่า
หลักสูตรแบบบูรณาการจึงจำเป็นสำหรับทศวรรษหน้าและอนาคต เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีนักคิด นักการศึกษาหลายคนได้เริ่มนำ ศิลปะแห่งการผสมผสานหลักสูตร มาใช้เพื่อให้ผู้เรียน ๆ ได้เรียนรู้ทักษะแห่งการผสมผสานอันเป็นคุณลักษณ์ที่จำเป็นอย่างมากในทศวรรษที่ 21 นอกจากนั้นยังเป็นการลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา ลดเวลาเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการแบ่งเบาภาระในการสอนของครู
ถ้าเราต้องการจะให้คนรุ่นใหม่เป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่เรียน (Lifelong Learner) และเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ดีไปพร้อม ๆ กัน เราต้องช่วยให้ผู้เรียน เกิดความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนกับชีวิต จะต้องทำให้เขาทราบว่า เขาเป็นส่วนหนึ่งของโลก เขาสามารถใช้ทักษะวิทยาการต่าง ๆ ที่เรียนมาใช้ในการแก้ปัญหาได้จริง ทั้งนี้เพราะวิถีชีวิตของคนที่ต้องดำรงอยู่อย่างประสานกลมกลืนเป็นองค์รวม
Story Line Method คือ การเอาทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎีมาใช้ร่วมกัน เช่น การบูรณาการ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน เชื่อมโยงออกไปสู่วิถีชีวิตจริง การค้นคว้าหาความรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นต้น Story Line Method มีความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า ความรู้ควรมีลักษณะเป็นองค์รวม ผลการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับวิธีการได้มาซึ่งความรู้นั้นและประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นสำคัญและผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีต้องผ่านการกระทำของตนเองด้วยประสบการณ์ตรง หลักการของ Story Line คือ การสร้างเรื่องหรือสถานการณ์สมมติที่จะศึกษาให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่จะเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
การจัดการเรียนรู้โดยโครงงาน ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ และหลักการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ คือ เชื่อมั่นในศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนภายใต้หลักการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและสอดคล้องกับสภาพจริงในท้องถิ่น
การใช้วิธีการประเมินจากแฟ้มผลงาน จะสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามหลักสูตรได้หลากหลายวิชา เสริมสร้างความสนใจในการเรียนรู้ด้านภาษา การเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อย่างมีความหมาย รวมถึงการเกิดความร่วมมือในการเรียนรู้และการบูรณาการวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตามในการบูรณาการหลักสูตร และจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ด้วยทุกครั้ง
(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ
การจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนการสอน และสิ่งต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวย เพิ่มความสะดวกแก่ผู้เรียน และผู้สอน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่ง ต่อการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้
โรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมทั้งครูผู้สอนจึงมีภาระหน้าที่ที่จะต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของครูกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน ครูกับครู ให้โอกาสอิสระในการลองผิดลองถูก มีความหลากหลาย มีอิสระในการเลือก บรรยากาศเป็นมิตรไมตรีต่อกัน เรียนรู้ร่วมกัน หากมีการแข่งขันก็มุ่งเน้นการพัฒนา เวลาที่เหมาะสม เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ มีความสนุกสนาน ครูและผู้เรียนมีการตื่นตัวตลอดเวลา มีความสนุกในการเรียนรู้ สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการจัดหา ผลิตสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมเพียงพอ
ครูทุกคนสามารถทำวิจัยและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน (Classroom Research) เพื่อสร้างนวัตกรรมการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง เรียนอย่างคิดเป็นทำเป็น พัฒนาเต็มศักยภาพและมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การทำให้เด็กไทยฉลาด เป็นคนเก่ง คนดี คือ บทบาทและภาระกิจของคุณครูทุกคน และสถานศึกษาทุกแห่ง
(6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
ความรู้ และแหล่งการเรียนรู้มีอยู่มากมาย จึงเป็นเรื่องยากที่ครูจะติดตามไปสอนผู้เรียนได้หมด ต้องสร้างให้นักเรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ เพื่อติดตาม ค้นคว้าหาความรู้ที่มีอยู่อย่างมากมายนั้น
การที่จะทำให้ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ได้นั้นจะต้องเริ่มจากต้นทุนที่เป็นฐานความรู้ที่นักเรียนมีอยู่ เชื่อมโยงไปสู่แหล่งเรียนรู้ไกลตัว ในโลกกว้างจากแหล่งเรียนรู้ที่ใกล้ตัวที่สุด คือ แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เช่นทรัพยากร สภาพปัญหา การประกอบอาชีพในชุมชนฯ และเชื่อมโยงต่อสู่ความเป็นสากล สังคมโลก
กิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดจะเอาผู้เรียนเป็นตัวตั้ง ตัวอย่าง การนำภูมิปัญญาในชุมชนใกล้เคียงมาใช้ในโรงเรียน ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เชิญวิทยากรมาให้ความรู้แก่เด็กและครู เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ออกมาแสดงความคิดเห็นร่วมกัน โดยเน้นบทบาทของการแสดงออกเป็นสำคัญ จัดให้มีค่ายวิทยาศาสตร์ ร่วมกับโรงเรียนอื่น ๆ ในเขต หรือในสหวิทยาเขต หรือกลุ่มโรงเรียน สำหรับนักเรียนที่มีความสนใจ
การเรียนการสอนไม่ได้อยู่แต่ในโรงเรียน ผู้เรียนสามารถไปศึกษาที่บ้านหรือท้องถิ่นได้ การเรียนรู้ไม่มีขีดจำกัด ครูสามารถสร้างเจตคติให้ผู้เรียนสนใจได้

ครูมืออาชีพตามมาตรา 24 ต้องใช้เทคนิคการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ อันประกอบด้วย การรู้จักรายบุคคล ซึ่งมีหลากหลายวิธี หลากหลายแหล่งเรียนรู้ ช่วยให้ครูรู้จักเด็ก กลุ่ม พลังการเรียนแบบร่วมมือ บูรณาการ วิถีการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ โครงงาน การเรียนรู้ที่ลุ่มลึก การเชื่อมโยงการเรียนรู้สู่ท้องถิ่น การเรียนรู้ที่มีความหมายใช้ได้จริงในชีวิต และพอร์ตโพลิโอ (Portfolio) แหล่งรวบรวมผลการเรียนรู้
***อาจารย์ 2 ระดับ 6 หมวดวิทยาศาสตร์ โรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์ ลำพูน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน

THE OPERATION OF INTERNAL QUALITY ASSURANCE

TITLE: THE OPERATION OF INTERNAL QUALITY ASSURANCE
ACCORDING TO THE EDUCATIONAL QUALITY ASSURANCE SYSTEM OF
BASIC EDUCATION SCHOOL IN LAMPHUN EDUCATIONAL SERVICE
AREA
First name Last name: Mr.Yongyouth Yaboonthong
Affiliation: Educational Administration, School of Educational Studies, Sukhothaithammathirat Open
University
e-mail address of corresponding author: nasai_adm@hotmail.com, suanboon@yahoo.com
Keywords: Internal Quality Assurance, The educational quality assurance system, Basic Secondary
Education School.
The purposes of this research were (1) to study the operation of internal quality assurance
according to the educational quality assurance system of basic education school in Lamphun educational
service area; (2) to compare the operation of internal quality assurance according to the educational quality
assurance system of basic education school in Lamphun educational service area in Different of the levels
and (3) to study problems and recommendation to solve problems of internal quality assurance according to
the educational quality assurance system of basic education school in Lamphun educational service area
The populations are basic education school in Lamphun educational service area, which formal
education, Total 241 schools. The sample consisted of 178 schools, cluster sampling by school in Different
of the levels. The persons who give data are to have to do with internal quality assurance according to the
educational quality assurance system. The instrument employed in the research was a questionnaire with the
reliability of .97. The statistics for data analysis were the frequency distribution, percentage, mean, standard
deviation, ANOVA and Tukey's HSD test
The research findings were as follows: (1) the whole process of internal quality assurance as
practiced in basic education school in Lamphun educational service area was at the moderate level. (2)
When the Compare with the operation of internal quality assurance according to the educational quality
assurance system of basic education school in Lamphun educational service area in Different of the levels
regarding the process of internal quality assurance as practiced in schools were compared, it was found that
their operation were significantly different at the .05 level. Regarding the operation of the processes of
internal quality assurance as practiced in schools of different level, significant difference at the .05 level
was found with the all process practiced in all level schools. All this the school which to manage education
in 3 – 4 level has mean of practiced more than 1-3 and 1-2 level and 1-3 level more than 1-2 level. (3) the
most of problems is to lack of human resources and to need knowledge and understanding of internal
quality assurance system. Recommendations to solve problems are to train and they should to evaluate and
develop must be continuous process and together.

รูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนถ่ายโอนฯ กรณีโรงเรียนท้องถิ่นวิทยาคม

รูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วม
ของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

A PROPOSED MODEL OF PARTICIPATIVE ADMINISTRATION IN BASIC EDUCATION INSTITUTION TRANSFERRED TO OFFICE OF LOCAL ADMINISTRATIVE ORGANIZATION

ดร.ยงยุทธ ยะบุญธง
Dr. YONGYOUTH YABOONTHONG
ตำแหน่ง : ผู้อำนวยการสถานศึกษา โรงเรียนนาทรายวิทยาคม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
วุฒิการศึกษา : ปริญญาเอก
สถานที่ติดต่อ : โรงเรียนนาทรายวิทยาคม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน 51110
โทร 053-979628, 081-2874873, E-mail: nasai_1@nws.ac.th
ผู้ร่วมวิจัย : -
ปีที่ทำสำเร็จ : ปี พ.ศ. 2551
ประเด็นการวิจัย : การบริหารการเปลี่ยนแปลง (การกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
ลักษณะการวิจัย : วิทยานิพนธ์ ของมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก
ประเภทการวิจัย : การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR)
การนำเสนอเวทีวิชาการอื่น: การประชุมทางวิชาการ การวิจัยทางการศึกษา ระดับชาติ ครั้งที่ 13
แหล่งเงินทุน : มหาวิทยาลัยนเรศวร งบประมาณแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ 2552

ความเป็นมาของการวิจัย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ถือเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญกับการปกครองท้องถิ่นมากที่สุด ตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมา 16 ฉบับ และด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่น ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชุมชนท้องถิ่นและองค์กรปกครองท้องถิ่นไทยครั้งใหญ่ (โกวิทย์ พวงงาม, ม.ป.ป., หน้า 1) นอกจากนี้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 หมวด 14 ว่าด้วยการปกครองท้องถิ่น ยังได้มีการกำหนดว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรหลักใน การจัดบริการสาธารณะและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในพื้นที่ และการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนนี้เองเป็นหลักประกันว่ารัฐจะต้องส่งเสริม สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลัก โดยใช้การกระจายอำนาจเป็นกลไกสำคัญ และเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมจึงได้มีการกำหนดมาตรา 283 อันเป็นการระบุว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะ และมีอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การจัดบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การเงิน และ การคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ(วุฒิสาร ตันไชย, 2551, หน้า 1) รัฐบาลไทยได้ดำเนินการอภิวัฒน์ให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ คือ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการตราพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 มีการจัดตั้งคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) และคณะกรรมการฯได้จัดทำประกาศ แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2543 และประกาศใช้แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2545 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการกระจายอำนาจให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ตั้งแต่ที่มีการจัดตั้งคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2543 จนปัจจุบัน ภารกิจกระจายอำนาจของไทยไม่ก้าวหน้ามากนัก เนื่องจากบรรดาเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนคัดค้านการถ่ายโอนภารกิจต่าง ๆ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น การถ่ายโอนการศึกษา การสาธารณสุข เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นปัญหาที่เกิดจากความไม่พร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งผลให้การถ่ายโอนภารกิจเป็นไปอย่างล่าช้า ต่อมาคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 9/2548 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 กำหนดเกณฑ์การถ่ายโอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยกำหนดสัดส่วนการขอรับถ่ายโอนสถานศึกษา แยกตามระดับการศึกษาและตามประเภทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีมติให้โอนสถานศึกษา ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่มติดังกล่าวสวนทางกับความคิดเห็นของสมาคมครูและผู้บริหารสถานศึกษาส่วนใหญ่จึงได้รวมตัวประท้วงครั้งใหญ่ขึ้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของผู้ประท้วงดังกล่าว จึงเพิ่มเติมเงื่อนไขการถ่ายโอนว่าการถ่ายโอนต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของสถานศึกษา ที่จะต้องมีการตัดสินใจร่วมกัน ระหว่างผู้บริหาร คณะครูและคณะกรรมการสถานศึกษา เพื่อหาทางออกที่จะลดผลกระทบ โดยให้เป็นไปในลักษณะของการสมัครใจใน 2 ระดับ คือ สมัครใจในส่วนสถาบัน คือ โรงเรียน และการสมัครใจของผู้บริหารโรงเรียนและครู หากทั้ง 2 ฝ่ายสมัครใจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เต็มใจที่จะรับ และมีความพร้อมที่จะรับ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นว่าพร้อมรับ และโรงเรียนพร้อมที่จะถ่ายโอนไปจึงจะสามารถถ่ายโอนได้ (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง วิธีการและเงื่อนไขการแสดงถึงความสมัครใจให้โอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549, 13 มกราคม 2549) และจัดทำกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้ การถ่ายโอนจะต้องมีการระบุชื่อโรงเรียนที่ชัดเจน และต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ โดยในปีการศึกษา 2549 จะต้องยื่นเรื่องขอรับการประเมินภายใน 120 วันก่อนวันเปิดภาคเรียน คือ ภายในวันที่ 15 มกราคม 2549 (กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549, 11 มกราคม 2549) ในส่วนของการแสดงความสมัครใจให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง วิธีการและเงื่อนไขการแสดงถึงความสมัครใจให้โอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549 (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง วิธีการและเงื่อนไขการแสดงถึงความสมัครใจให้โอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2549, 13 มกราคม 2549) และหลังจากนั้น วันที่ 17 มกราคม 2549 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 4) โดยในหมวด 3 (1) กำหนดให้รับข้าราชการซึ่งโอนไปเป็นข้าราชการท้องถิ่นเป็นสมาชิก และมาตรา 70 (1) คงสิทธิการเป็นสมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้เช่นเดิม (พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2549, 17 มกราคม 2549, หน้า 8)
ในปี พ.ศ. 2549 ได้มีกระบวนการหาความสมัครใจของโรงเรียนและการประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แม้จะมีการปฏิรูปการปกครองบ้านเมือง มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็มีการถ่ายโอนโรงเรียนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อถึงสิ้นปี โรงเรียนในบัญชี 1 โอนไปทั้งสิ้น 70 โรงเรียน จากนั้นต่อมาก็มีการถ่ายโอนมาเรื่อย ๆ เมื่อมีการถ่ายโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ปัญหาที่ทุกฝ่ายเป็นห่วงมากที่สุด คือ เรื่อง คุณภาพและมาตรฐานทั้งในส่วนของหลักสูตร และในการจัดการเรียนการสอน สโรช สันตะพันธุ์ ได้กล่าวว่า เมื่อโรงเรียนได้ผ่านกระบวนการถ่ายโอนมาสังกัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วระยะหนึ่ง ควรจัดให้มีการประเมินผลการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สโรช สันตะพันธุ์, 2549) โดยอาจมอบให้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เป็นผู้ดำเนินการ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเริ่มจัดการศึกษา ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 กำหนดให้เทศบาลมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาให้แก่ราษฎรในท้องถิ่น (กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น, ม.ป.ป.) แต่เนื่องจากเทศบาลในขณะนั้นมีงบประมาณน้อย ทำให้การจัดการศึกษาของเทศบาลไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร จึงได้โอนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลกลับคืนให้กระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด มีประสบการณ์จัดการศึกษาโรงเรียนประชาบาลนอกเขตเทศบาลเป็นระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 – 2523 ก่อนที่จะมีการโอนโรงเรียนไปสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ จะเห็นได้ว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดยังไม่มีประสบการณ์ในการจัดการศึกษาโดยเฉพาะในระดับช่วงชั้นที่ 3-4
สถานศึกษาในฐานะที่เป็นหน่วยปฏิบัติที่สำคัญที่สุด เมื่อถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จะต้องมีการบริหารและจัดการให้เกิดการขับเคลื่อนไปภายใต้ภาวการณ์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง และต้องมีการบริหารการจัดการของสถานศึกษาใหม่ ทั้งรูปแบบ แนวทางให้สอดคล้องกับหน่วยงานต้นสังกัดใหม่ ความเป็นนิติบุคคลที่สิ้นสุดลง คำนึงถึงคุณค่าความมีประสิทธิภาพและคุณภาพของสถานศึกษา รวมทั้งความเป็นท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความพึงพอใจแก่ผู้รับบริการทางการศึกษาเป็นสำคัญ แนวทางในการบริหารสถานศึกษาที่มุ่งสู่ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามแนวการปฏิรูปการศึกษา และหลักการในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, 2549 หน้า 13) ซึ่ง ชาญชัย อาจินสมาจาร (2548, หน้า 26) กล่าวว่า ประสิทธิผลของการศึกษา เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของรูปแบบการบริหาร คุณลักษณะขององค์การ และบรรยากาศการทำงานแบบมืออาชีพ ประสิทธิผลทางการศึกษาสูงสุด ต้องการรูปแบบการบริหารและบรรยากาศในองค์การที่เหมาะสม ดังนั้นรูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จึงเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนต้องการค้นหา

วัตถุประสงค์

เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วม ของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ข้อตกลงเบื้องต้น
ในการวิจัยครั้งนี้ ชื่อของสถานศึกษา หน่วยงานต้นสังกัด ครูและบุคลากรในสถานศึกษา บุคลากรในหน่วยงานต้นสังกัด หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด และเครือข่ายสถานศึกษาที่โรงเรียนตั้งอยู่ เป็นชื่อสมมติทั้งสิ้น เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ได้ในภายหลัง

ระเบียบวิธีวิจัย

การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบการศึกษาเฉพาะกรณี (Case Study) โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research - PAR) ของโรงเรียนท้องถิ่นวิทยาคม ซึ่งก่อนการถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุวรรณภูมิ เขต 2 ต่อมาได้ถ่ายโอนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุวรรณภูมิ มีวิธีการศึกษา 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพและความต้องการ เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการศึกษาเอกสาร ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาก่อนการถ่ายโอนฯ การสังเกต จัดประชุมระดมความคิด (Brain Storming Meetings) การใช้เทคนิค SWOT Analysis การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work Shop) การสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาจำนวน 300 คน
ขั้นตอนที่ 2 เป็นการสร้างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี เกณฑ์การคัดเลือก และเกณฑ์การประเมินสถานศึกษาดีเด่น และงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ข้อมูลในขั้นตอนที่ 1 ผสมผสานกับการศึกษารูปแบบโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ 3 รูปแบบ จำนวน 12 โรงเรียน วิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อร่างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาอย่างมีส่วนร่วม และให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 15 คน ตรวจสอบและพิจารณาความเป็นไปได้ของร่างรูปแบบฯ
ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้ ศึกษาผลการใช้ และถอดรูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วม ของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยดำเนินการ 3 ขั้นตอน ดังนี้
3.1 ขั้นเตรียมการ โดยการสร้างความตระหนัก แก่ คณะครู ชุมชน นักเรียน ผู้ปกครองและองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อให้เกิดแรงผลักดันในการพัฒนาการศึกษาร่วมกัน และเตรียมพัฒนาครูและบุคลากร เพื่อการสร้างองค์การใหม่ การสรรหาบรรจุแต่งตั้งครูใหม่ โดยผู้นำต้องใช้ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การจัดองค์กรโครงสร้างใหม่ การจัดทำแผนกลยุทธ์ระยะ 3 ปี แผนดำเนินงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. การสร้างคู่มือคุณภาพ การสร้างคู่มือการปฏิบัติงาน และการฝึกอบรมก่อนการดำเนินงาน ระหว่างการดำเนินการและหลังดำเนินการ ตลอดจนการประเมินผล
3.2 ขั้นตอนการดำเนินการ โดยทั้ง 3 ฝ่าย คือ สถานศึกษา ชุมชนและองค์การบริหารส่วนจังหวัด ดำเนินการอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องและเป็นระบบโดยใช้การบริหารคุณภาพ PDCA การมีส่วนร่วม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างสม่ำเสมอ และเพื่อให้แก้ไขปัญหาและใช้ ICT เพื่อการติดต่อสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
3.3 ขั้นตอนการศึกษาผลการใช้รูปแบบ และถอดรูปแบบฯ โดย
3.3.1 ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การสังเกต ประชุมระดมพลังสมอง การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนศึกษาจากบันทึกการประชุมต่าง ๆ นำมาวิเคราะห์ข้อมูลแบบสามเส้าแล้วสรุป
3.3.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยสร้างแบบสอบถาม และนำไปสอบถามผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 328 คน จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และร้อยละ โดยใช้คอมพิวเตอร์

สรุปผลวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

1. ผลจากการศึกษาสภาพของโรงเรียนท้องถิ่นวิทยาคม เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัด 130 กิโลเมตร เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ถ่ายโอนภารกิจการจัดการศึกษาไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุวรรณภูมิ วันที่ 15 มกราคม 2550 ถ่ายโอนบุคลากรและทรัพย์สินเสร็จสิ้น เมื่อเดือนกันยายน 2550 ก่อนการถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีการศึกษา 2549 มีครู 12 คน รวมทั้งผู้บริหารสถานศึกษา นักเรียน 231 คน โรงเรียนประสบปัญหาทั้งในด้านจำนวนครูตามเกณฑ์ ก.ค.ศ. และขาดแคลนครูตามวิชาเอก อาคารเรียน อาคารประกอบ สื่อการเรียนการสอน งบประมาณ ไม่เพียงพอ รวมทั้งผลการประเมินคุณภาพทางวิชาการของนักเรียนยังไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ความเชื่อถือและการยอมรับจากผู้ปกครองนักเรียนลดลงเรื่อยมาจากตัวบ่งชี้ที่สำคัญคือ จำนวนนักเรียนลดลงประมาณครึ่งสุวรรณภูมิ ในระยะ 5 ปีย้อนหลัง คณะครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และชุมชนจึงได้สมัครใจถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ดังกล่าว
2. การสร้างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลจากการรวบรวมและศึกษาเอกสารแนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยที่ เกี่ยวกับรูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในช่วงชั้นที่ 3 -4 ทั้งของสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งได้วิเคราะห์รูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเชิงประจักษ์ จากโรงเรียน 3 รูปแบบ ที่มีประสิทธิภาพในการบริหารสถานศึกษา คือ สถานศึกษาที่ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน สถานศึกษา 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน และสถานศึกษาต้นแบบดีเด่นสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่าโรงเรียนทั้ง 3 รูปแบบ มีการบริหารจัดการภาระงานเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 การปฏิรูปการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ โดยมุ่งผลประโยชน์สูงสุดให้เกิดแก่นักเรียน แล้วนำมาสังเคราะห์ และสร้างเป็นรูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมของโรงเรียนถ่ายโอนฯ ที่ประกอบด้วย โครงสร้างการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วม โครงสร้างการบริหารภายในสถานศึกษา คู่มือคุณภาพ และคู่มือการปฏิบัติงาน และได้ตรวจสอบความเป็นไปได้จากผู้เชี่ยวชาญ ปรับปรุงแก้ไข และนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษา
3. การทดลองและศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วม ของโรงเรียนที่ถ่ายโอนฯ โดยการนำรูปแบบฯ จากขั้นตอนที่ 2 ไปทดลองและศึกษาผลการใช้ ที่โรงเรียนท้องถิ่นวิทยาคม เป็นระยะเวลา 1 ภาคเรียน ในระหว่างการทดลองใช้ร่างรูปแบฯ มีการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ และแผนดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การประสานงาน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร และที่สำคัญ คือ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา มีการประเมินผลระหว่างการใช้ หาจุดเด่น จุดที่ต้องพัฒนา แก้ไข ปรับปรุง โดยการถอดประสบการณ์ร่วมกัน เมื่อสิ้นสุดการทดลองใช้มีการประเมินรูปแบบฯ และหาประสิทธิผลของการบริหารสถานศึกษา ปรากฏผล ดังนี้
โครงสร้างการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมของโรงเรียนที่ถ่ายโอนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามภาพ 1 ประกอบด้วย การสายบังคับบัญชาจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จนถึงสถานศึกษา รวมทั้งสายความสัมพันธ์หรือสายแสดงความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษาของโรงเรียน เริ่มจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตามกฎหมาย และเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้มีปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดคนสุวรรณภูมิ เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และรับผิดชอบควบคุมดูแลราชการประจำขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นไปตามนโยบาย และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดหรือตามที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมาย (พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด, 2546, มาตรา 39,หน้า 13) มีรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลทางด้านการศึกษา ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือรองปลัดฯ คนใดคนสุวรรณภูมิเป็นผู้รับผิดชอบด้านการศึกษา และผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รับผิดชอบ กำกับดูแลสถานศึกษาในสังกัด
สายสัมพันธ์และสายความร่วมมือ ด้านการบริหารจัดการ ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในความรับผิดชอบ คือ การส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการให้บริการสาธารณะ โดยการพัฒนาและให้คำปรึกษาแนะนำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านการบริหารงานบุคคล การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น การเงิน การคลัง และการบริหารจัดการ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะส่วนแผนและงบประมาณทางการศึกษาท้องถิ่น สำนักประสานและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่นกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมอื่น ๆ (ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา) กระทรวงมหาดไทย ท้องถิ่นจังหวัด สมาคมผู้บริหารโรงเรียนถ่ายโอนฯ สมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย สายสัมพันธ์และสายความร่วมมือ ด้านวิชาการ ประกอบด้วยสถาบันอุดมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เครือข่ายสถานศึกษา (เครือข่ายสถานศึกษา เครือข่ายโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดสุวรรณภูมิ) คณะกรรมการส่งเสริมสนับสนุนงานวิชาการระดับท้องถิ่น, ระดับกลุ่ม, ส่วนกลาง และส่วนจังหวัด คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ ของโรงเรียน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สายสัมพันธ์และสายความร่วมมือ ด้านการบริหารจัดการในสถานศึกษา และการสนับสนุนทรัพยากร ประกอบด้วย คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ชมรมผู้ปกครองนักเรียน และครู ชมรมศิษย์เก่าโรงเรียน ชมรมผู้ขับรถรับส่งนักเรียน โรงเรียนท้องถิ่นวิทยาคม
ในส่วนของการบริหารภายในสถานศึกษาซึ่งความเป็นนิติบุคคลได้สิ้นสุดลงจากผลของการถ่ายโอนฯ มีโครงสร้างการบริหารภายในสถานศึกษา ดังภาพ 2 เริ่มจากผู้อำนวยการสถานศึกษา กลุ่มบริหารงาน 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มบริหารงานวิชาการ กลุ่มบริหารงานแผนงานและงบประมาณ กลุ่มบริหารงานบุคคล กลุ่มบริหารงานทั่วไป กลุ่มบริหารงานกิจการนักเรียน และกลุ่มบริหารงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แต่ละกลุ่มบริหารงาน มีกลุ่มงานภายในรวม 18 กลุ่มงาน คือ กลุ่มบริหารงานวิชาการ มี 4 กลุ่มงาน กลุ่มบริหารงานแผนและงบประมาณ มี 2 กลุ่มงาน กลุ่มบริหารงานบุคคล มี 2 กลุ่มงาน กลุ่มบริหารงานกิจการนักเรียน มี 3 กลุ่มงาน กลุ่มบริหารงานบริหารงานทั่วไป มี 4 กลุ่มงาน กลุ่มบริหารงานเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร มี 3 กลุ่มงาน
โครงสร้างการบริหารงานภายในของแต่ละกลุ่มบริหารงาน 6 กลุ่มบริหารงาน กลุ่มบริหารงานวิชาการ มี 4 กลุ่มงาน 13 งาน กลุ่มบริหารงานแผนและงบประมาณ มี 2 กลุ่มงาน 8 งาน กลุ่มบริหารงานบุคคล มี 2 กลุ่มงาน 7 งาน กลุ่มบริหารงานกิจการนักเรียน มี 3 กลุ่มงาน 14 งาน กลุ่มบริหารงานบริหารงานทั่วไป มี 4 กลุ่มงาน 12 งาน กลุ่มบริหารงานเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร มี 3 กลุ่มงาน 7 งานและสายความสัมพันธ์หรือสายแสดงความร่วมมือ กับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาการศึกษาของโรงเรียน และสายความสัมพันธ์หรือสายแสดงความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาการศึกษาของโรงเรียน โดยการดำเนินการของ กลุ่มบริหารงาน และกลุ่มงานใช้กระบวนการบริหารคุณภาพ P-D-C-A และหลักการมีส่วนร่วม
คู่มือคุณภาพ (Quality Manual) เป็นเอกสารที่กำหนดนโยบายคุณภาพ วิธีดำเนินการและวิธีปฏิบัติโดยทั่วไป ใช้เป็นเอกสารหลักในการอธิบายระบบ และบอกถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาสู่คุณภาพ เพื่อให้บุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียนได้เข้าใจในนโยบายการจัดการ และการนำไปใช้เป็นแนวทางในการทำงาน สร้างความมั่นใจ และเข้าใจต่อภาระหน้าที่ในการจัดการศึกษาของโรงเรียน นอกจากนั้นยังเป็นประโยชน์ต่อการประเมินภายใน และการประเมินจากภายนอก ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ตลอดทั้งหน่วยงานต้นสังกัดใหม่ เนื้อหาในเอกสารประกอบด้วย การแนะนำ วัตถุประสงค์และขอบเขตของคู่มือคุณภาพ ภาพรวมของโรงเรียน ลักษณะเฉพาะของโรงเรียนถ่ายโอนฯ การบริหารองค์กร การประกาศนโยบายคุณภาพ โครงสร้างการบริหารงานสถานศึกษา โครงสร้างการบริหารกลุ่มบริหารงาน 6 กลุ่ม ความสำคัญ นโยบายวัตถุประสงค์ แนวดำเนินการ บทบาทหน้าของผู้เกี่ยวข้อง ระบบประกันคุณภาพ การบริหารทรัพยากรโรงเรียนถ่ายโอนฯ การนิเทศ กำกับ ติดตามและการควบคุม การสร้างระบบกลไกการควบคุมคุณภาพการรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและคุณลักษณะอย่างเป็นระบบวิธีการปฏิบัติคุณภาพโดยทั่วไปวิธีการปฏิบัติในการควบคุมกระบวนการบริหารหลักสูตรการประเมินตนเองของข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนข้อกำหนดเพื่อความก้าวหน้า การประเมินและค้นหาความต้องการของผู้รับบริการ เทคนิควิธีสู่ความสำเร็จในการบริหารสถานศึกษาโรงเรียนถ่ายโอนฯ หลักการบริหาร 5 ขั้นตอน และเอกสารแนบท้าย

คู่มือการปฏิบัติงาน (Procedure / Work Manual) เป็นเอกสารที่เปรียบเสมือนแผนที่บอกเส้นทางการทำงานที่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของกระบวนการ ระบุถึงขั้นตอนและรายละเอียดของกระบวนการต่าง ๆ ขององค์กรและวิธีควบคุมกระบวนการนั้น จัดทำขึ้นสำหรับลักษณะงานที่ซับซ้อน มีหลายขั้นตอนและเกี่ยวข้องกับคนหลายคน และสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงาน วัตถุประสงค์ของการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงาน เพื่อให้การปฏิบัติงานในปัจจุบันเป็นมาตรฐานเดียวกัน ผู้ปฏิบัติงานทราบและเข้าใจว่าควรทำอะไรก่อนและหลังผู้ปฏิบัติงานทราบว่าควรปฏิบัติงานอย่างไร เมื่อใด กับใคร เพื่อให้การปฏิบัติงานสอดคล้องกับนโยบาย วิสัยทัศน์ ภารกิจ และเป้าหมายขององค์กร เพื่อให้ผู้บริหารติดตามงานได้ทุกขั้นตอน เป็นเครื่องมือในการฝึกอบรม ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการทำงาน และใช้เป็นสื่อในการประสานงาน โครงสร้างของคู่มือการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ขอบเขต คำจำกัดความ ความรับผิดชอบ ระเบียบปฏิบัติ (ขั้นตอน) เอกสารอ้างอิง แบบฟอร์มที่ใช้ และเอกสารบันทึก
กระบวนการบริหารรูปแบบฯ
ในการบริหารสถานศึกษาตามรูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังแผนภูมิ 3 ผู้บริหารจะต้องมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เป็นผู้ประสานงานทั้งภายในภายนอก สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์และเป็นที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และกองอื่น ๆ ในการกำหนดวิธีปฏิบัติงานให้สอดคล้องกันตรงกัน และถูกต้องตามระเบียบฯ มีการจัดทำแผนกลยุทธ์และแผนดำเนินงานปีงบประมาณ การบริหารทีมงาน การใช้วงจรคุณภาพ PDCA ของเดมมิ่ง ตรวจสอบการทำงานของทุกภาระงาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากผลของการโอนสถานศึกษาเป็นเหตุให้คณะครูทั้งหมดที่มีอยู่เดิมก่อนการถ่ายโอน 11 คนย้ายออก 10 คน เหลือที่โอนย้ายไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 คน นักการ 1 คน และผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน ทำให้ต้องมีการสรรหาและคัดเลือกคณะครูใหม่ ให้ครบตามเกณฑ์ ก.ค.ศ. และตามวิชาเอก จึงได้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตลอดปี ตามเป้าหมายของแผนกลยุทธ์โดยนำครูอัตราจ้างเก่าที่เคยทำงานที่โรงเรียนนี้และได้รับการบรรจุแต่งตั้ง (โดยกรณีพิเศษ) เป็นข้าราชการครูผู้ช่วย มาเป็นหัวหน้าทีมงานและบริหารทีมงาน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ทำให้การทำงานมีคุณภาพ มีความชัดเจนต่อเนื่อง และมีคุณภาพบรรลุผลสำเร็จตามขอบข่ายภาระงาน ส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น สามารถสอบเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้มากขึ้น และได้รับรางวัลในระดับประเทศและระดับต่างๆ ขณะที่สถานศึกษามีคุณภาพตามมาตรฐานของโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีการพัฒนาตามความต้องการของชุมชนและองค์การบริหารส่วนจังหวัด และเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และได้ขยายเปิดสอนในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพในปีการศึกษาต่อไป


สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วม พบว่า โครงสร้าง การบริหารสถานศึกษา มีความเหมาะสมกับขนาด จำนวนนักเรียน ระดับการศึกษา มีความคล่องตัว มุ่งสู่คุณภาพ ประสานภายในและภายนอกเป็นอย่างดี มีกลุ่มบริหารงานที่เหมาะสมกับความจำเป็นของโรงเรียนถ่ายโอนฯ สภาพบริบทของโรงเรียนที่ต้องพัฒนาในทุกด้าน และในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่โรงเรียนเป็นอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ แคมป์ และคณะ (Camp and Others, 1967, pp. 96 – 129) สุทธิพงศ์ ยงค์กมล (2543 , บทความ) คู่มือคุณภาพ และคู่มือการปฏิบัติงาน มีอรรถประโยชน์ ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และการนำไปใช้ อยู่ในระดับมากที่สุด เหมาะสมกับสภาพบริบทของโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุวรรณภูมิ ทั้งนี้เพราะครูซึ่งได้รับการบรรจุแต่งตั้งใหม่ได้ร่วมกันสร้าง พัฒนา ทดลองใช้ เพื่อเป็นทิศทางและแนวทางในการปฏิบัติงาน ได้ร่วมกันแก้ไขปรับปรุงคู่มือคุณภาพและคู่มือการปฏิบัติงานด้วยตนเอง จนสามารถการทำงานในแต่ละด้านมีประสิทธิผล ที่เห็นได้ชัดเจน คือ งานของกลุ่มบริหารงานแผนและงบประมาณ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการบริหารที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ (Result Based Management) การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ตลอดจนการประกันคุณภาพการศึกษาตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูประบบราชการแนวใหม่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (2549, หน้า 3 - 82) การประเมินประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาที่เกิดขึ้น ของโรงเรียนใน 6 มิติ คือ ความสำเร็จของโรงเรียน ผลประโยชน์ด้านการเงินของโรงเรียน ผลประโยชน์ด้านการเรียนรู้ของโรงเรียน ความพึงพอใจของครูและบุคลากรทางการศึกษา ความพึงพอใจของผู้รับบริการ ประกอบด้วย นักเรียน ชุมชน และผู้ปกครองนักเรียน และผู้ที่เกี่ยวข้อง สุดท้ายผลที่มีต่อสังคมและชุมชนในการจัดการศึกษาของโรงเรียนพบว่า ผลประโยชน์ด้านการเงินของโรงเรียน อยู่ในระดับ มากที่สุด นอกนั้นอยู่ในระดับมากสอดคล้องกับงานวิจัยของสำนักผู้ราชการ ประจำเขตตรวจราชการที่ 1 – 12 และ กทม. สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (บทสรุปสำหรับผู้บริหาร, 2550, หน้า ค)
ข้อเสนอแนะ รูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมฯ นี้ เป็นรูปแบบที่สร้างและใช้โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนท้องถิ่นวิทยาคม ที่ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นแห่งแรก และแห่งเดียวของจังหวัด ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาควรสนับสนุนให้มีการพัฒนาสถานศึกษา เพื่อให้สามารถพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นฐานในลักษณะของการมีส่วนร่วมเช่นเดียวกับรูปแบบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีส่วนร่วมนี้ เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาและพัฒนาได้อย่างตรงประเด็น รวมทั้งหากจะนำรูปแบบนี้ไปใช้ กับโรงเรียนถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ควรพิจารณาให้ความสำคัญในด้านบุคลากรและคณะทำงานเพราะถ้าครูและบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์การทำงานมากแล้ว อาจจะต้องเพิ่มระดับมาตรฐานการทำงานที่สูงขึ้น นอกจากนั้นอาจต้องปรับวิธีการทำงาน ในคู่มือการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งด้วย และผู้ที่นำไปใช้ต้องคอยดูแล กำกับ ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจากการวิจัย นี้พบว่า ผู้บริหารและแกนนำ รวมทั้งคณะครูและบุคลากรทางการศึกษา มีการพบปะพูดคุย ประชุม ปรึกษาหารือ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ และมีการถอดประสบการณ์ประจำวัน ซึ่งจะทำให้การใช้รูปแบบนี้มีประสิทธิภาพ





บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 พร้อมกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547. (1 ตุลาคม 2547). ราชกิจจานุเบกษา. 121 (พิเศษ 59 ก).
กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549. (11 มกราคม 2549).123 (3 ก) .หน้า 1-3
กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น. (ม.ป.ป.). สูจิบัตรมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น 2550. กรุงเทพฯ: (ม.ป.ท.)
โกวิทย์ พวงงาม. (ม.ป.ป.). ความคืบหน้าของการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและทิศทางที่ ควรจะเป็นไปในอนาคต. สืบค้นเมือ 10 เมษายน 2548, จาก http://www.local.moi.go.th/webst/article2.pdf
ชาญชัย อาจินสมาจาร. (2548). สู่ทิศทางใหม่ของการบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ: ก้าวใหม่.
พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2549 (17 มกราคม 2549) ราชกิจจานุเบกษา. 123 (4 ก). หน้า 8.
พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2546. (4 พฤศจิกายน 2546). ราชกิจจานุเบกษา .เล่ม 120 ตอน 109 ก.
หน้า 5 – 20.
วุฒิสาร ตันไชย. (2551). ทิศทางการปกครองท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550. ค้นคืน เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 จาก http://www.vcharkarn.com/varticle/35389/1.
สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2549). การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี. ค้นคืนเมื่อ 1 ธันวาคม 2549 จาก http://www.cabinet.thaigov.go.th/bb2_main31.htm).
สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานปลัด สำนัก นายกรัฐมนตรี (2545). คู่มือปฏิบัติงานด้านการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี.
สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานปลัด สำนัก นายกรัฐมนตรี (2549). คู่มือการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.). (2549). “การพัฒนาคุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐ เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ”. กรุงเทพฯ: ภารกิจการบริหารการ เปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักผู้ราชการ ประจำเขตตรวจราชการที่ 1 – 12 และ กทม. สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (2550). การถ่ายโอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. อัดสำเนา. ม.ป.ท.
สุทธิพงศ์ ยงค์กมล. (2543). การวิเคราะห์ปัจจัยที่สงผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอน. วิทยานิพนธ์ ค.ด., (การบริหารการศึกษา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร.
Camp, R.F. and other. (1967). Introduction Education Administration. Boston: Allyn and Bacon.